อดีตสส.ประชาธิปัตย์ 4 สมัย ที่ไม่เคยมีใครจำได้เลย กลับมาเป็นที่พูดถึงกันมากในตอนนี้ แต่ที่ดังขึ้นมาได้ก็เพราะว่าออกมาพูด 2 ครั้ง คือ 1.ออกมาโพสต์อวยพรวันเกิดอดีตนายกฯทักษิณ 2.ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หนึ่งในบ้านเก่าตัวเองคือพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่ออีกหลายครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องปกติของเผ่าพันธุ์นักการเมือง หรือไม่ที่ต้องออกมาแสดงอะไรแบบนี้หลังจากที่มีการเปลี่ยนสังกัด? จึงได้อย่าแปลกใจว่าเหตุใดประชาชนจึงยังคงเบื่อหน่ายนักการเมือง และต้องยอมรับว่านี่เป็นเหตุผลที่ค่อนข้างมีน้ำหนักสำหรับการเปิดทางของประชาชนต่อการรัฐประหารปี 2557 เพื่อละทิ้งนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม...
การออกมาโพสต์อวยพรวันเกิดอดีตนายกฯ มองเผินๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกพรรคเพื่อไทยที่ทำกัน แต่ที่ดูแตกต่าง คือ การพูดพาดพิงถึงหนึ่งในสังกัดเก่า ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจที่จะได้เล่าให้ฟังต่อไป รวมถึงการออกมาพูดโจมตีรัฐบาล คสช.ปัจจุบัน ซึ่งไม่ว่าอดีตสส.ท่านนี้จะย้ายเข้าสังกัดใหม่ด้วยเหตุผลใด แต่การแสดงความเห็นในช่วงนี้นับว่าเป็นคุณประโยชน์ต่ออดีตนายกฯทักษิณและเพื่อไทยในตอนนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงที่กระแสเลือดไหลออกยังทวีความรุนแรงอยู่ แต่กลับมีเลือดไหลเข้ามาที่ตบหน้าได้ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาล คสช. แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังเป็นเช่นไร?
อุดมการณ์ของนักการเมืองและพรรคการเมืองสัมพันธ์กันอย่างไร? ประชาชนก็เฝ้ามองอยู่ว่าจะเห็นการปฏิรูปการเมืองจากพรรคการเมืองได้จริงหรือไม่?โดยเฉพาะตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ที่รัฐบาล คสช.ได้เข้าบริหารประเทศ พรรคการเมืองต่างๆ ได้ทำการปฏิรูปตัวเองไปในทิศทางใด? วัฒนธรรมองค์กรเดิมๆ ที่ประชาชนเห็นแล้วยี้ยังคงมีอยู่หรือไม่? ตั้งแต่เรื่องการใช้อำนาจในทางมิชอบ? การโจมตีสาดโคลนใส่กัน? ตลอดจนไปถึงการตกเขียว สส. ตกลงแล้วตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองไทยปฏิรูปดีขึ้นแล้ว หรือย้อนกลับไปไกลขึ้นกว่านั้น?
ก่อนเลือกตั้งปี 2544 มีอดีต สส.จากพรรคต่างๆ ถูกดูดไปรวมอยู่ในพรรคไทยรักไทยเกือบ 100 คนการดูดสส.ในครั้งนั้นมีสส.ที่ได้รับการเลือกตั้งกลับมากว่า 80 คน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็มีสส.ที่ย้ายเข้ามาเพิ่มขึ้น จนทำให้พรรคไทยรักไทย มีสส.รวม 350 คน แต่จะมีใครรู้บ้างว่าในสส. 350 คน มีสส.189 คน ที่เป็นตัวเลขที่มาจากการดูดสส.ในแต่ละรอบใช่หรือไม่? ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าที่แท้จริงแล้วย้ายไปเพราะอะไร? หากย้อนไปดูสส.ที่ย้ายกันไปในยุคนั้น โดยสังเกตเฉพาะอดีต สส.ประชาธิปัตย์ไปสู่พรรคไทยรักไทยจะมีใครจำได้ไหมว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช นายทวี สุระบาล อดีต สส.จังหวัดตรัง นายนพดล ปัทมะ และ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทยเหล่านี้ เคยย้ายมาจากพรรคประชาธิปัตย์ในแต่ละรอบทั้งนั้น
จะเห็นได้ว่าบุคคลที่ย้ายสังกัดหรือถูกเชิญไปอยู่ไทยรักไทยในยุคนั้น น่าสนใจว่าล้วนเปิดฉากด้วยการกลับมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์อันเป็นบ้านเก่าแทบทั้งนั้นหรือไม่? ซึ่งถือว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างหนัก? และหลังจากการวิพากษ์วิจารณ์ ก็มีความบังเอิญได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีหลายคนใช่หรือไม่? จึงทำให้ไม่รู้ว่าสาเหตุที่ย้ายพรรคแท้จริงแล้วคืออะไร? และไม่รู้ว่าภารกิจที่แท้จริงที่พรรคไทยรักไทยในขณะนั้นมอบให้บรรดาอดีต สส.ที่ย้ายพรรคจากพรรคต่างๆ ทำหน้าที่อะไร? เลยไปจนถึงว่าการตบรางวัลให้เป็นรัฐมนตรีแซงหน้าคนเดิมในพรรคด้วยนั้นเพราะทำงานอะไร? หรือเพราะว่ามีผลงานอะไรกันแน่?
ว่ากันด้วยอุดมการณ์ของนักการเมือง ที่ทำให้บรรดานักการเมืองตัดสินใจย้ายพรรคกันไปมาจนเป็นที่เอือมระอาของประชาชนนั้น แท้จริงแล้วประชาชนอยากรู้ว่าอะไรคือสาเหตุของการย้ายสังกัดของบรรดานักการเมือง? อย่างกรณีพรรคไทยรักไทยเดิม พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็ขึ้นชื่อว่ามีการโยกย้ายถ่ายเทของบรรดานักการเมือง จากนอกพรรคเข้าสู่พรรคเหล่านี้เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อย้อนดูเป็นรายบุคคลพบว่ามีจำนวนไม่น้อยคนที่ย้ายเข้าพรรคเหล่านี้ก็ล้วนแต่มีประวัติการย้ายพรรคมาจากหลายพรรคแล้วในหลายๆ ครั้ง ซึ่งการย้ายในแต่ละครั้งก็ย้ายกันเป็นกลุ่มก๊วน ซึ่งถึงเวลาย้ายออกก็ย้ายออกเป็นกลุ่มก๊วนเช่นกัน ดังนั้นถึงจะบอกว่าโดนดูดออกก็อาจจะต้องเรียกว่าโดนดูดเข้าเช่นกัน หลายคนจึงสงสัยข้อความของนายพานทองแท้ที่บอกว่า ในสมัยทักษิณนั้นเป็นคนละแบบและคนละวิธี ว่ามันคนละวิธีจริงหรือ? และเหตุใดเกิดกับคนกลุ่มเดิมๆ
กลับมาที่เรื่องอุดมการณ์ของพรรคการเมืองและนักการเมืองต่อ อย่างล่าสุดท่ามกลางกระแสอดีต สส. เพื่อไทย ย้ายไปอยู่พรรคใหม่ กลับเกิดประเด็นอดีต สส.ประชาธิปัตย์ย้ายไปเพื่อไทยนั้น หลายฝ่ายวิจารณ์ต่างๆ นานา ซึ่งก็ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง ว่าย้ายไปเพราะนโยบาย อุดมการณ์ที่เปลี่ยนไป หรืออะไรกันแน่? แต่ที่รู้แน่ๆ คือ อดีตสส.ประชาธิปัตย์ คนนี้ เคยพูดในทำนองวิพากษ์วิจารณ์พรรคไทยรักไทย ตั้งแต่เรื่องบุคคลยันนโยบายของพรรคใช่หรือไม่? ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับในสมัยนายสุรพงษ์ และแม้วันนี้อดีตสส. คนนี้จะพูดอีกอย่าง แต่ประชาชนก็ไม่รู้แล้วว่าอะไรคือข้อเท็จจริงกันแน่? อาจจะมีบางคนเกิดความลังเลในตัวอุดมการณ์ของนักการเมืองแบบนี้ ประการที่สอง สถานะล่าสุดนายนครไม่ได้ย้ายไปจากประชาธิปัตย์ แต่จากการย้อนดูข่าวเป็นการย้ายจากพรรคอื่น เนื่องจากได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2556 และลงสมัครเป็น สส. พิษณุโลก เขต 5 สังกัดพรรคชาติพัฒนา ในปีเดียวกัน? จึงไม่รู้ว่าการสร้างประเด็นของอดีตสส.คนนี้ รวมถึงบรรดาพลพรรคเพื่อไทยที่ทยอยออกมาให้ความเห็นในตอนนี้ เป้าหมายคืออะไรกันแน่? ประการที่สาม อุดมการณ์ที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยคืออะไร? และบรรดากลุ่มก๊วนต่างๆ ที่อยู่ในพรรค
เพื่อไทยมีอุดมการณ์เดียวกันจริงหรือไม่? หรือเป็นที่รวมตัวของคนหลากหลายอุดมการณ์ ซึ่งไม่รู้ว่าหากเป็นอย่างนั้นใช้อะไรเป็นตัวยึดโยงให้พรรคนี้เป็นพรรคการเมืองกันแน่?
ต้องยอมรับว่าการเปิดตัวของอดีต สส.คนนี้ยิ่งใหญ่และเป็นข่าวต่อเนื่องหลายวัน ทั้งการให้สัมภาษณ์จากฝั่งเพื่อไทยเอง ฝั่งประชาธิปัตย์ และฝั่งคสช. ที่ต่างสาดโคลนใส่กัน แม้กระทั่งลูกชายอดีตนายกฯทักษิณก็ออกมาตีตราประทับย้ำไปอีก จึงไม่รู้ว่านี่คือการย้ายพรรคของอดีต สส.คนนึง หรือเป็นเพียงอีเว้นท์ทางการเมือง เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึงช่วงที่สามารถสมัครสมาชิกพรรคได้เนื่องจากภายใต้คำสั่ง คสช. และเอาเข้าจริงก็ได้ลาออกจากประชาธิปัตย์ไปอยู่กับชาติพัฒนาแล้ว ประเด็นที่แท้จริงก็คือการย้ายจากชาติพัฒนาไปเพื่อไทยมากกว่า จึงไม่รู้ว่าอีเว้นท์ทางการเมืองนี้ใครอยู่เบื้องหลัง และเป้าหมายเป็นอย่างไร แต่หากย้อนดูวัฒนธรรมองค์กรเดิมของพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย วิถีการย้ายพรรคของนักการเมืองท่านนี้อาจมีโอกาสเติบโตขึ้นเป็นรัฐมนตรีในไม่ช้า? น่าเห็นใจแต่กับคนทำงานจริงๆ ที่อยู่ในสังกัดพรรคเพื่อไทยที่อาจจะถูกเกมการเมืองบั่นทอนกำลังใจในการทำงาน สุดท้ายคนใหม่อาจแซงหน้าไปได้ง่ายๆ
มองจากภายนอกอีเว้นท์ที่เกิดขึ้นนี้เบื้องหลังจะเป็นยังไงไม่ทราบ แต่เบื้องหน้าน่าจะสามารถดึงกระแสสื่อกลับมาที่นายทักษิณ ตลอดจนหยุดกระแสเลือดไหลออกจากพรรคเพื่อไทยไปสู่พรรคใหม่ หรือกลุ่มสามมิตร ซึ่งต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้กระแสผู้นำขาลงของนายทักษิณ หรือเพื่อไทยแพแตกกำลังเร่งเวลาให้พรรคแตกเร็วขึ้นหรือไม่? ยิ่งเพิ่มแต้มต่อทางการเมืองให้กับรัฐบาล คสช. และพรรคการเมืองใหม่ ที่มีข่าวว่ามีการต่อยอดจากกลุ่มของ คสช. โดยเฉพาะเวลาที่บรรดาพรรคการเมืองทะเลาะกันเอง นับวันยิ่งชัดขึ้นถึงสถานการณ์ 3 ขั้วทางการเมือง 1.ขั้วทักษิณ 2.ขั้วประชาธิปัตย์ 3.ขั้วกลุ่มที่สนับสนุนคสช. แต่หากนักการเมือง ยังคงไม่ปฏิรูปตัวเองและยังคงมีพฤติกรรมเลื้อยไปมาได้เรื่อยๆ เช่นนี้ ก็อย่าได้เรียกหาประชาธิปไตย และให้ประชาชนมาต่อสู้แทนอีกเลย
“...คนที่บอกว่าไม่กลัว ในใจมักหวาดกลัวผู้อื่น...” คำคมโกวเล้ง จากเรื่องเล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี