บทความตอนต่อเนื่อง “ย้อนอดีตวิกฤติต้มยำกุ้งกับบรรยง พงษ์พานิช” ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะให้จบภายใน 5 ตอน แต่เอาว่า ขยายความสิ่งที่คุณบรรยง ได้กรุณาเล่าเอาไว้ไม่จบ อ่านไปอ่านมาก็มีแต่ตอนสำคัญ และรายละเอียดที่ควรรู้ และรู้แล้วก็ได้ประโยชน์อีกมากมาย จึงขออนุญาตขยับไปเป็นตอนยาว 6 ตอน โดยจะจบที่ตอนหน้าเป็นตอนสุดท้ายครับ
วันนี้คุณบรรยงจะได้แจกแจงกฎหมาย 11 ฉบับ ที่ออกในช่วงขณะนั้น ที่มีส่วนสำคัญเพื่อแก้วิกฤติ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 มี 5 ฉบับ เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการล้มละลายการแก้ไขการแบ่งทรัพย์การเข้าดูแลควบคุมกิจการการบังคับคดีขายทอดตลาดซึ่งทุกฉบับมุ่งที่จะให้กระบวนการเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นธรรมและรวดเร็วไม่ใช่ต้องใช้เวลากัลปาวสานอย่างแต่ก่อนซึ่งทำให้ดีขึ้นมากมายแต่ก็ยังไม่ดีพอเดี๋ยวจะกลับมาว่ากัน
กลุ่มที่ 2 มีอยู่ 4 ฉบับ ส่งเสริมให้ต่างชาติได้เข้ามาลงทุนได้มากขึ้นประกอบธุรกิจได้มากขึ้นมีทรัพย์สิน เช่น คอนโดฯที่ดินเพื่ออยู่อาศัยในจำนวนจำกัดได้เช่าทรัพย์สินระยะยาวได้ซึ่งในทัศนะของพวกค่อนเสรีนิยมอย่างผมย่อมเห็นเป็นเรื่องดีทั้งนั้นยังคิดว่าดีไม่พอด้วยซ้ำน่าจะเปิดให้มากกว่านี้หรือเปิดหมดเสียด้วยซ้ำนึกไม่ออกว่านายทุนไทยกับนายทุนต่างชาติเศรษฐีไทยกับเศรษฐีต่างชาติจะดีเลวต่างกันอย่างไร
ถ้าฝรั่งมาแย่งกว้านซื้อที่ดินเกษตรชาวนาชาวสวนก็ย่อมขายได้ราคาดีกว่ามีเจ้าสัวไทยไม่กี่คนที่กว้านซื้ออยู่ดี (จะแก้ต้องไม่ให้กว้านทั้งหมด)
ถ้าฝรั่งจะมาแย่งซื้อคอนโดหรูก็มีแค่เศรษฐีไทยที่เดือดร้อนต้องซื้อแพงขึ้นแต่คอนโดที่ค้างคาก็ได้สร้างต่อมีการจ้างงานมีกำไรไปจ่ายพนักงานเพิ่มถ้ามาซื้อกิจการคุณภาพของก็มักจะดีขึ้นประสิทธิภาพเพิ่มเทคโนโลยีทันสมัยลูกจ้างเก่งขึ้นรวยขึ้นลูกค้าดีขึ้นยกตัวอย่างบล.ภัทรที่ต้องขายให้ฝรั่งเพราะบริษัทแม่ไม่รอดพอเปลี่ยนเป็น Merrill Lynch ทุกคนดีขึ้นเก่งขึ้นได้เรียนรู้มากมาย
ที่สำคัญรายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวลูกค้าก็ได้รับบริการคุณภาพมาตรฐานสากลนี่ถ้าไม่มีวิกฤติพวกเราก็คงจะยังโง่งมงายอยู่เหมือนเดิมเพราะไม่ได้โอกาสที่จะเรียนจะรู้เรียนกันไปเองแบบ “ตาบอดคลำช้าง”
กฎหมายกลุ่มที่ 3 มีอยู่ฉบับเดียว คือ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจที่เอื้อให้การแปรรูปเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วไม่ได้บังคับให้แปรรูปแต่อย่างใดเพราะการแปรรูปถือเป็นนโยบายสำคัญมาตั้งแต่แผนพัฒนาฯฉบับที่ 5 เพียงแต่ไม่ค่อยทำเพราะมันขัดผลประโยชน์ผู้มีอำนาจก็เลยให้มีกฎหมายให้ทำได้สะดวกการแปรรูปฯเลยถูกตราหน้าว่าเป็นการขายชาติ NGO พวกประชาสังคมพากันค้านหัวชนฝากรีดเลือดค้านเข้าทางพวกนักกินเมืองได้อย่างน่าอัศจรรย์เรื่องแปรรูปรัฐวิสาหกิจนี้เป็นเรื่องยาวมีประโยชน์มากใน 30 ปีที่ผ่านมามีการแปรรูปกว่า 30,000 รายการ ใน 120 ประเทศทั่วโลกไม่รู้ว่ามันจะตั้งหน้าตั้งตา “ขายชาติ” กันอย่างทั่วถึงทุกมุมโลกได้อย่างไร
กฎหมายฉบับสุดท้ายเป็นเรื่องประกันสังคมปรับปรุงการคุ้มครอง รวมทั้งสิทธิประโยชน์ผู้เอาประกันถูกรวมมาเป็นกฎหมายขายชาติได้อย่างสุดมั่วไม่เกี่ยวกันเลยไม่รู้ว่าผู้ประท้วงกลัวว่า 10 ฉบับ มันดูน้อยไปหรือไปดูหมอมาว่าต้องเลข 11
โดยรวมคุณบรรยงย้ำไว้ว่า ค่อนข้างมั่นใจว่ากฎหมายทุกฉบับเป็นเรื่องดีอย่างน้อยดีขึ้นและกลับคิดว่าเราต่อรองมากไปเสียด้วยซ้ำ เลยยังไม่ได้มาตรฐานสากล เช่น ลูกหนี้ยังมีอำนาจต่อรองมากเกินไปเอาเปรียบเจ้าหนี้(โดยเฉพาะรายย่อย)ได้มากคนคิดว่าเจ้าหนี้ได้เปรียบลูกหนี้ แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามมีหลายรายที่ลูกหนี้สามารถใช้เทคนิคกฎหมายร่วมมือกับเจ้าหนี้ใหญ่ทำให้เจ้าหนี้ย่อยเสียหายกว่าครึ่งโดยที่ผู้ถือหุ้นยังเหลือเป็นหมื่นล้านบาทกระบวนการก็ยังล่าช้ายื้อได้เป็น 10 ปี ยึดทรัพย์ก็ร่วม 5 ปี ล้มละลายแค่ 3 ปี ก็พ้นมีการ lobby กันวุ่นวายทุกขั้นตอน ทั้งการร่างวุฒิสภา สื่อ ฯลฯ
นอกจากเรื่องกฎหมายขายชาติมีมาตรการอีกสองด้านของ IMF ที่ถูกโจมตีมากซึ่งเขาก็ยอมรับว่าพลาดและปรับปรุงไปในภายหลัง
คือ เรื่องวินัยการคลังและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเรื่องไม่ได้ตั้งใจให้แย่ แต่พระเอกดันเผลอเดินสะดุดขา แถมเอาศอกกระทุ้งเข้าเบ้าตานางเอกทำเอาตาเขียวแต่ก็หอมแก้มขอโทษโดยการ relax มาตรการเข้มข้นต่างๆ ลงอย่างรวดเร็วหลังจากเสถียรภาพกลับมา
หลังจากให้ยาแรงหลายๆ ขนานเศรษฐกิจไทยก็เริ่มตั้งหลักได้ สถาบันการเงินมั่นคงขึ้นที่แย่รัฐเข้าจัดการค่าเงินมีเสถียรภาพไม่หวือหวาภาคการส่งออกเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะพวกที่ใช้แรงงานและ local content เป็นต้นทุนหลัก เพราะต้นทุนลดตั้ง 40% พอแก้ปัญหาการเงินออกจาก NPLได้ก็ไปโลดจนปี 2542 เศรษฐกิจกลับมาโตได้ 4.4% ในปี 2542 และ 4.8% ในปี’43 หลังจากติดลบ 1.4% และ 10.5% ในปี’40 และ ’41
ก่อนจะเข้าฉากฟื้นฟูต่อมีคนอยากให้ลงรายละเอียดฉากที่พระเอก IMF ถองหน้านางเอกไปสองทีว่า ที่เล่าคราวที่แล้วน้อยไปหน่อย ไม่สมกับเป็นฉากบู๊ดุเดือดที่ด่ากันมาตั้งสิบกว่าปีเค้าหาว่าผมซูเอี๋ยช่วยพระเอก
เรื่องแรกคือ นโยบายการคลัง(fiscal policy) ซึ่ง IMF เลือกให้ยาแรงคือ กำหนดให้ไทยต้องเกินดุลงบประมาณในปีงบฯ 2540/41 ทันที 1% ของ GDP ทั้งนี้เพราะเหมือนเป็นสูตรสำเร็จเนื่องจากวิกฤติในประเทศกำลังพัฒนาก่อนหน้านี้มักเกิดจากความไร้วินัยการคลัง ถึงแม้ของเราไม่ใช่วิกฤติเกิดในภาคเอกชน
แต่ก็เกิดการเป็นห่วงว่าเงินที่รัฐต้องใช้เพื่อแก้ระบบการเงินอาจมากมายเสียจนหนี้สาธารณะอาจจะพุ่งพรวด (โชคดีที่ตลาดทุนมาช่วยแบ่งเบาภาระไปเยอะ) ซึ่งถ้าเกิด Fiscal Crisis แบบกรีซซ้ำขึ้นมาอีก ICU ก็จะเอาไม่อยู่
ลองคิดดูครับเศรษฐกิจหดตัวภาษีก็เก็บได้น้อยลงยังบังคับให้เกินดุลงบประมาณรัฐก็เลยต้องรัดเข็มขัดเต็มที่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เลยทำให้หดตัวแรงกว่าที่ควรแต่พอเห็นว่าเอาอยู่หนี้ไม่ไหลเขาก็ยอมให้ขาดดุลได้ 5.5% ในปีงบฯ ’41/’42 และอีก 5% ในปี’42/’43 ถ้ามองอีกมุมเหมือนเค้าให้เราใส่เข็มขัดนิรภัยนั่งรถพอไม่เกิดอุบัติเหตุเราก็ด่าแม่เขาว่าทำให้อึดอัดเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์
- ผมขอเสริมสรุปเอาว่าด้วยเหตุผลปัจจัยแบบนี้ รัฐบาลทำอะไรมากไม่ได้นอกจากจะต้องเข้มงวดรัดกุมเพื่อชาติจึงได้ฉายาว่าเชื่องช้าจะให้เร็วได้ไงล่ะครับตกเหวตายหมู่กันอีกพอดี ต้องขอบคุณรัฐบาลในปีนั้นด้วยซ้ำที่ช้าแต่รอบคอบและรัดกุมทุกฝีก้าว
ขอตัดฉากเข้าสู่บรรยากาศเลือกตั้งต้นปี 2544 หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ภาวะสงบเศรษฐกิจโตได้รวม 9.2% ในสองปี’42-’43 แต่เทียบกับลบไป 12% ก่อนหน้าชาวประชาต้องกัดลูกปืนกันเลือดกลบปากทั่วหน้าย่อมไม่เป็นที่นิยมชอบยิ่งสังคมนี้เป็นสังคมที่เกิดอะไรขึ้นมีความลำบากเกิดขึ้นก็พร้อมที่จะโทษคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองรัฐบาลชวน 2 โดนแรงกดดันจนต้องยุบสภาฯปลายปี’43 ทั้งๆ ที่เพิ่งทำวิกฤติฟื้นจากภาวะที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
จากนั้นจัดเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 ครั้งแรก เมื่อ 6 มกราคม 2544 แล้วก็เป็นไปตามคาดคือ ฝ่ายรัฐบาลเดิมแพ้ยับประชาธิปัตย์ได้รับเลือกแค่ 129 คน พรรคใหม่ไทยรักไทยคว้าแชมป์ได้ 250 จาก 500 ครึ่งหนึ่งเป๊ะๆ เลย ได้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลก็ด้วยความที่เอาภาพที่ประชาชนต้องรัดเข็มขัดความล่าช้าจากการรอบคอบรัดกุมมาเป็นจุดขายเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วก็เข้ามาโต้คลื่นต่อไปจากมีพายุมานานหลายปี
เรื่องนี้คุณบรรยงบอกว่า..ทำให้ระลึกถึงคุณปู่ Winston Churchill ซึ่งเป็นสุดยอดวีรบุรุษสงครามนำอังกฤษร่วมชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเดือนเมษายน 1945 แต่กลับนำพรรค Conservative แพ้เลือกตั้งยับให้กับพรรคแรงงานเมื่อกรกฎาคม 1945 หลังจากนั้นแค่ 2 เดือน ในอัตรา 197:393 ที่นั่ง เกือบเท่ากับของเราเป๊ะ ต้องรอจนปี 1951 กว่าคุณปู่จะชนะกลับมาเป็นนายกฯได้อีกทีของเราประชาธิปัตย์ต้องรอกว่า 7 ปี จึงได้เป็นรัฐบาลอีกที
ถ้าใครจำได้สโลแกนไทยรักไทยก็คือ “คิดใหม่ทำใหม่” ซึ่งเลียนแบบมาจาก “New Deal” นโยบายเศรษฐกิจแบบ Keynesian ของประธานาธิบดีเรแกน ที่พลิกฟื้นความตกต่ำทางเศรษฐกิจจาก Great Depression ในช่วงทศวรรษ 1930s
ขอเสริมเรื่องหนี้ IMF กันสักเล็กน้อยครับ นายกฯ ชวน เข้ามาบริหารประเทศหลังจากที่รัฐบาลชวลิตที่มีคุณทักษิณเป็นรองนายกฯ ได้ประเดิมสัญญา Letter of intent ครั้งแรกเริ่มแล้ว เข้ามาก็ต้องทำงานต่อเนื่องจากการลงนามที่เกิดขึ้นก่อนหน้า และเข้ามาก็ทยอยจ่ายหนี้อย่างขมขื่นไปกว่า 70% ของมูลหนี้ทั้งหมด ถ้าอยู่ต่อก็จะได้เป็นคนจ่ายหนี้ก้อนสุดท้าย แต่เอาล่ะ ในเมื่ออดีตแก้ไขไม่ได้ ท่านก็ยุบสภาส่งมอบให้รัฐบาลถัดไป แต่ใครจะนึกล่ะครับว่า เข้ามาแล้วบอกว่า “ปลดหนี้ IMF” หน้าตาเฉยทั้งที่ตัวเองจ่ายแค่นิดเดียวงวดท้ายๆ ด้วยซ้ำไป
บทความตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายครับ ย้อนอ่านบทความตอน 1-4 ได้ทางแนวหน้าออนไลน์นะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี