ปัญหาจราจรติดขัดอย่างสาหัสสากรรจ์ในเขตกรุงเทพมหานครชั้นในโดยเฉพาะในย่านธุรกิจ และย่านที่พักอาศัย นับเป็นปัญหาสังคมของไทยที่เกิดขึ้นมานานกว่า 30 ปี แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ วิกฤตการณ์ดังกล่าวก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้
ทุกวันนี้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครเกือบจะทุกพื้นที่ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงวิกฤติจราจรได้
หลายคนต้องใช้เวลาในการเดินทางจากบ้านไปที่ทำงานและจากที่ทำงานกลับบ้าน ในแต่ละวันไม่น้อยกว่า 2 ถึง 3 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่พักอาศัยอยู่ย่านบริเวณสนามบินดอนเมืองและหลักสี่ ที่ต้องขับรถยนต์เข้าไปทำงานในเขตสีลม และสาทร จะต้องออกจากบ้านไม่เกินตีห้าครึ่ง เพราะถ้าออกจากบ้านหลังจากเวลานั้น อาจจะถึงที่ทำงานเป็นเวลาเกือบ 10 นาฬิกา ส่วนช่วงหลังเลิกงานก็ต้องใช้เวลาในการขับรถยนต์อยู่บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยปัญหาการจราจรติดขัด เป็นเวลาอีกไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง
รวมความแล้วคนกลุ่มนี้เสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์เพราะการเดินทางวันหนึ่งอย่างน้อย 3 ถึง 5 ชั่วโมง
อ้างอิงจากผลการวิจัยโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย เมื่อปี 2559 พบว่าโดยเฉลี่ยผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯต้องใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติวันละ 35 นาที ซึ่งเวลาที่เสียไปในการเดินทางในแต่ละวัน เมื่อนำไปคำนวณค่าเสียโอกาสที่จะนำเวลาดังกล่าวไปสร้างสรรค์ผลงานอื่นๆ หรือเพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่าปีละ 11,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 60 ล้านบาทต่อวัน นับเป็นต้นทุนของประเทศที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
เมื่อพิจารณาถึงมูลค่าของพลังงานเชื้อเพลิงที่สูญเสียไป อันเกิดมาจากปัญหาจราจรติดขัดอย่างสาหัส พบว่ามีการใช้พลังงานเชื้อเพลิงคิดเป็นมูลค่า 6 พันล้านบาทต่อปี
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะเขตพื้นที่ชั้นใน รวมถึงพื้นที่ซึ่งประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น เกิดมาจากจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจในแต่ละเดือนมีข้อมูลระบุว่ากรุงเทพมหานคร มีรถยนต์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3 แสน 6 หมื่นคัน ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อพิจารณาถึงพื้นผิวจราจรที่จะสามารถรองรับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี กลับพบว่ามีพื้นที่ไม่เพียงพอกับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น
ครั้นเมื่อพิจารณาจากระบบขนส่งมวลชนที่จะสามารถให้บริการกับประชาชนได้อย่างสะดวกสบายและเหมาะสมก็พบว่าไม่เพียงพอและไม่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวนมากจำเป็นต้องซื้อรถยนต์ส่วนตัว เพราะเห็นว่าไม่สามารถได้รับบริการระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพได้
ไม่มีใครปฏิเสธว่ากรุงเทพมหานครมีประชากรหนาแน่นมากติดอันดับโลก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมหานครใหญ่ ๆ ของโลก อาทิ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย กัลกัตตา และกรุงนิวเดลี อินเดีย กรุงเตหะราน อิหร่าน กรุงไนโรบี เคนยา เม็กซิโกซิตี้ เม็กซิโก กรุงไคโร อียิปต์ นครอิสตันบูล ตุรกี และกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประชากรเฉลี่ยต่อตารางกิโลเมตรมากกว่ากรุงเทพฯ กลับพบว่าปัญหาวิกฤติจราจรในกรุงเทพฯอยู่ที่ อันดับ 12 ของโลก ทั้งที่จำนวนประชากรในกรุงเทพฯเฉลี่ยอยู่ที่ 5,900 คนต่อตารางกิโลเมตร
ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่คนไทยและชาวต่างประเทศที่รู้จักกรุงเทพฯดีทราบตรงกันก็คือ กรุงเทพฯเป็นเมืองที่เป็นศูนย์รวมของระบบเศรษฐกิจ เป็นศูนย์กลางการค้าการพาณิชย์ และการธนาคาร และมีสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงทำให้ผู้คนจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศมารวมตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นเมื่อประชากรอาศัยอยู่มาก และคนจำนวนไม่น้อยต่างก็มีรถยนต์เป็นจำนวนมาก แต่ถนนหนทางมีจำนวนไม่เพียงพอกับจำนวนรถยนต์ แล้วที่สำคัญคือในระยะสามถึงสี่ปีมานี้ ได้เกิดโครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนสาธารณะขนาดใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ โดยโครงการเหล่านั้นกระจายไปบนถนนสายหลักหลายสายของกรุงเทพฯ
เมื่อเป็นเช่นนี้กรุงเทพฯจึงหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดอย่างบ้าคลั่งเป็นประจำไม่ได้ แล้วดูเสมือนว่าปัญหาการจราจรติดขัดอย่างบ้าคลั่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ จนกว่าโครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯจะเสร็จสมบูรณ์
นอกจากวิกฤติจราจรจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายของประชาชนอันเกิดมาจากการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงทิ้งไปเป็นจำนวนมากในระหว่างเกิดปัญหารถติดยังมีปัญหาหนักซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมที่ดูเสมือนจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นคือปัญหาสุขภาพจิตของผู้ที่ประสบวิกฤติจราจรเป็นประจำทุกวันและเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลาย 10 ปี
นอกจากนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ นักเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวคนชั้นกลางระดับล่าง และครอบครัวชนชั้นล่างต้องเดินทางออกจากบ้านพักเพื่อไปโรงเรียนให้ทันเวลาเรียน โดยนักเรียนบางคนเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่เวลาตีห้า
แล้วกว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม บางวันก็เกินเวลาสองทุ่ม ซึ่งปัญหานี้ถือเป็นเหตุวิกฤติอย่างหนึ่งของเด็กและเยาวชนไทย เพราะทำให้เด็กเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายระหว่างเดินทาง และมีเวลาในการพักผ่อน เล่นสนุกตามวัยกับเพื่อนอ่านหนังสือ ทำการบ้าน และอยู่กับครอบครัวน้อยลง
ความเสียหายอันเกิดมาจากวิกฤติจราจรที่เกิดขึ้นเป็นประจำและเป็นระยะเวลาที่ยาวนานในกรุงเทพมหานคร ถือเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความสูญเสียด้านสุขภาพจิตที่ไม่สมควรจะปล่อยให้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานเช่นนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นต้นทุนเศรษฐกิจที่รัฐบาลและผู้บริหารกรุงเทพมหานครสมควรจะต้องเร่งแก้ไขให้ลุล่วงไปโดยเร็ว รัฐบาลและผู้บริหารกรุงเทพมหานครสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องหามาตรการและวิธีในการแก้ปัญหาวิกฤติจราจรให้ปรากฏผลอย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อขจัดปัญหาความสูญเสียทางเศรษฐกิจและปัญหาสุขภาพจิตและสุขภาพกายของผู้ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครทุกคน
อย่างไรก็ตาม มีผู้วิจารณ์ว่าปัญหาวิกฤติจราจรในกรุงเทพฯ เกิดมาจากสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง คือผู้ใช้รถใช้ถนนไม่มีวินัย และไม่เคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกัน ก็วิจารณ์ว่าการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินคดีทางการจราจรกับผู้กระทำผิดกฎหมายยังละหลวมและหย่อนยานมาก เพราะฉะนั้น เมื่อการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดไม่เข้มงวดจึงทำให้ผู้กระทำผิดกฎจราจรไม่เกรงกลัวแล้วยังจงใจทำผิดกฎจราจรตลอดเวลา จึงทำให้เกิดปัญหาวิกฤติจราจรเป็นประจำ
ข้อเสนอแนะของบทความนี้คือรัฐบาลและผู้บริหารกรุงเทพมหานครต้องจัดระบบการจราจรของกรุงเทพฯให้มีประสิทธิภาพโดยแท้จริง ส่วนผู้บังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดกฎจราจร ก็จะต้องดำเนินคดีหรือเอาผิดกับผู้กระทำละเมิดโดยไม่มีการละเว้น
ทุกวันนี้มีคนไทย รวมถึงคนต่างชาติจำนวนไม่น้อยยังจงใจละเมิดกฎจราจร เพราะเห็นว่าเมื่อทำผิดแล้วไม่ถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด ดังนั้นจึงตั้งใจฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ยกตัวอย่างเช่น
ผู้ขับขี่จักรยานยนต์และรถยนต์จำนวนมิใช่น้อยยังคงจงใจขับรถฝ่าไฟแดง หรือจอดรถในที่ห้ามจอด ขับรถเบียดหรือแซงในที่ห้ามหรือที่คับขัน เช่น คอสะพานข้ามทางแยก เป็นต้น
มีผู้ตั้งคำถามว่า เหตุใดคนไทยซึ่งอยู่ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่ง สิงคโปร์ จึงไม่กล้าละเมิดกฎจราจร แต่ทำไมกล้าละเมิดกฎจราจรในประเทศไทย หรือเราอาจจะเห็นเป็นประจำว่าชาวตะวันตกกระทำผิดกฎจราจรในประเทศไทยอยู่เสมอๆ แต่แต่ทว่าชาวต่างประเทศเหล่านี้ไม่กล้ากระทำผิดกฎหมายในประเทศของตัวเอง นั่นเป็นเพราะว่าการบังคับใช้กฎหมายในประเทศของเขาเคร่งครัดและเข้มงวดมากกว่าประเทศไทยใช่หรือไม่
บทสรุปของบทความในวันนี้คือ วิกฤติจราจรส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ และสุขภาพจิตของคนไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานเกินกว่า 30 ปีแล้ว รัฐบาลไทยและผู้บริหารกรุงเทพมหานครควรจะต้องพิจารณาประสิทธิภาพการทำงานเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง มิใช่ทนอยู่ในอำนาจไปเรื่อยๆ โดยไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ การทนอยู่ในอำนาจโดยไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ คือการผลาญงบประมาณแผ่นดินและเป็นการประจานตัวเองต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี