2 ส.ค. 2561 นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว “อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ” ระบุว่า ในรายการ “เหลียวหลังแลไปข้างหน้าเพื่อประชาธิปไตย” โดยได้แจ้งความคืบหน้าในการปล่อยตัว คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ในเช้าวันที่ 4 ส.ค. 2561 นี้ ระหว่าง 06.00–08.00 น. ซึ่งการเข้าเรือนจำของคุณจตุพรครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่าง เพราะเป็นคดีที่หมิ่นประมาท นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
“...แล้วคดีหมิ่นประมาทในอดีตไม่ว่าจะเป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย, คุณก่อแก้ว พิกุลทอง หรือคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งโดนถึง 2 คดี ก็ล้วนแต่ได้รับชัยชนะทางกฎหมาย เรียกว่าเอาคนเข้าคุกได้ อ.ธิดา จึงอยากตั้งคำถามว่า...แล้วไง?
มีความสุขไหมที่สามารถทำให้คู่แข่งทางการเมืองติดคุกได้?
มันเป็นชัยชนะทางกฎหมาย แต่ถามว่าใช่หรือไม่ ที่เป็นชัยชนะทางการเมือง
ความเก๋าของพรรคประชาธิปัตย์และทีมทนายของพรรคต้องยกหัวแม่มือให้ ทีมทนายนั้นเป็นทีมทนายที่มาจากยุค ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งเป็นทีมกฎหมายที่เชี่ยวชาญมีความสามารถโดดเด่น
ยกตัวอย่างขณะนี้เป็นกรณีศึกษา คือ คุณนคร มาฉิม
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใครโจมตีไม่ได้ ถ้าโจมตีต้องเอาเข้าคุกให้หมด ถามว่านอกจากได้เอาคนเข้าคุกแล้ว ได้ชัยชนะทางการเมืองไหม? ทำไมไม่สนใจที่จะทำให้พรรคการเมืองของคุณได้รับความนิยม?
คุณพิชัย รัตตกุล ออกมาแนะอย่าฟ้อง นคร มาฉิม ให้รกศาล อ.ธิดาได้แสดงทัศนะว่าคุณพิชัยเป็นผู้ใหญ่ อายุ 91 ปี ท่านรักประชาธิปัตย์และรักประชาธิปไตย และท่านหวังว่าคุณอภิสิทธิ์ คุณชวน คุณบัญญัติ จะรักประชาธิปไตยแบบท่าน ทัศนะของคุณพิชัยนั่นก็คือให้เอาชนะทางการเมือง ไม่ใช่ไปเอาชนะทางกฎหมาย!
อ.ธิดาแสดงความเห็นว่าโดยหลักการแล้ว ไม่ได้ต้องการเยาะเย้ยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องการให้ความเห็นแบบเดียวกับคุณพิชัย ถึงแม้อ.ธิดาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่อ.ธิดาก็ไม่ได้มีปัญหากับคุณชวน, คุณบัญญัติ หรือคุณอภิสิทธิ์ในแง่ส่วนตัว แต่ในทางปฏิบัติที่นำโดยคณะของท่านทั้งหมด อ.ธิดาคิดว่ามันเสียหายต่อประเทศชาติ เสียหายต่อระบอบประชาธิปไตย เสียหายต่อผลประโยชน์ประชาชน อยากให้ท่านกลับตัว เพราะว่าผมไม่เคยทำผิด
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ทำอย่างนั้นต่อ นั่นก็คือจ้องจะฟ้องคน เอาให้ติดคุกทั้งหมด แล้วยินดีที่จะให้มีระบอบอื่นมาคั่น และหวังว่าจะได้รับชัยชนะต่อไป
สิ่งสำคัญสำหรับพรรคการเมืองก็คือคุณต้องเอาชนะทางการเมือง ไม่ใช่คุณไปเอากองทัพ เอากำลังทหารหรือไปเอากฎหมายมาช่วยคุณ
เมื่อเป็นพรรคการเมืองต้องต่อสู้ทางการเมือง ต้องทำให้ประชาชนนิยม และเป็นสุภาพบุรุษมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ไม่ใช่เที่ยวคอยกระทืบหรือเล่นงานคน เอาคนไปจัดการเข้าคุก ถามว่าสนุกหรือ?
ที่ทำมาทั้งหมดคุณชนะทางกฎหมาย เอาคนเข้าคุกได้
คุณชนะทางการทหาร แต่คุณพ่ายแพ้ทางการเมือง นี่คือทัศนะ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ...”
ฟังเผินๆ ไม่ใช้สติปัญญา ก็ดูเหมือนว่าจะดี แต่หากฟังให้ดีๆ จะพบ “ตรรกะวิบัติ” มากมายหลายประการ
1) กฎหมายมีไว้คุ้มครองสุจริตชน ลงโทษทุจริตชน การต้องมีกฎหมายก็เพื่อ “หยุดการกระทำที่ไม่สุจริต และคุ้มครองคนดีๆ ไม่ให้ถูกละเมิด” ไม่เช่นนั้น ใครคิดจะกล่าวหา ใส่ความ ดูหมิ่น หมิ่นประมาทใครก็ได้ตามอำเภอใจ หวังผลเพียงแพ้-ชนะ ไม่ต้องรับผิดชอบต่อ “วจีกรรม” หรือ “วาจาทุจริต” ของตน สังคมมนุษย์จะยังคงความเป็นมนุษย์กันอยู่ได้ไหม นี่สังคมมนุษย์ครับ ไม่ใช่ฝูงคางคกหรือนกแสก ที่คิดแค่ “ความอยู่รอด” จากชัยชนะของการต่อสู้ เราเป็นสังคมมนุษย์ครับ ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์จึงไม่ฟ้องร้องจนกลายเป็นคดีความกันเพื่อ “ความสนุก” หรือเพื่อ “ชัยชนะทางการเมือง” แต่เพื่อปกป้องความถูกต้อง ความจริง และความมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเอง รักษาความเป็นมนุษย์ที่จะไม่ก่อวจีทุจริต
2) มาเรียนรู้ความถูกผิด และดุลยพินิจ “แบบมนุษย์ๆ” จากคำพิพากษาของศาลกันหน่อยครับ
คดี อ.4176/2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โจทก์ยื่นฟ้องนายจตุพร ในฐานะจำเลย จากกรณีที่นายจตุพรขึ้นปราศรัยบนเวทีชุมนุมกลุ่ม นปช. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม และ 17 ตุลาคม 2552 กล่าวหานายอภิสิทธิ์ว่า ประวิงเวลาในการทำความเห็นเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงร่วมกันลงชื่อถวายฎีกา และกล่าวหานายอภิสิทธิ์ ในลักษณะว่า เป็นฆาตกรสั่งฆ่าประชาชนระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
“ที่จำเลยฎีกาว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็นโดยสุจริตนั้น แต่จากคลิปวีดีโอ และสำเนาการถอดเทปการปราศรัยของนายจตุพรทั้งสองครั้ง ฟังได้ว่า จำเลยได้ปราศรัยหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ มีจุดประสงค์ให้ประชาชนออกมาขับไล่โจทก์ในฐานะเป็นรัฐบาล ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการหมิ่นประมาท ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง” ตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุ
“เป็นการใส่ร้ายโจทก์ตามฟ้องจริง เป็นการกระทำผิดตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอลงอาญานั้น เมื่อพิจารณาเเล้วเห็นว่า ถ้อยคำของจำเลยมีลักษณะพาดพิง หมิ่นเหม่กระทบสถาบัน ไม่ควรรอการลงโทษ ให้ยกฎีกา” ตอนหนึ่งของคำพิพากษาศาลฎีกา
อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่า การยอมรับว่าเป็นผู้กล่าวคำปราศรัยดังกล่าวจริง เป็นการให้การอันเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงเห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง พิพากษาเเก้โทษจำคุกจำเลย คงจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 12 เดือน
ซึ่งในคดี อ.4176/2552 นี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก นายจตุพรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 แล้ว รวม 2 กระทงกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี และไม่รอการลงโทษ เนื่องจากเห็นว่า ประโยคปราศรัยที่นายจตุพรกล่าวว่า “เป็นอาชญากรสั่งฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็นที่สุด” เป็นการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ มิใช่เป็นการกล่าวติชมด้วยความเป็นธรรม ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ในวันที่ 10 มิถุนายน 2559 แต่ทนายความของจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 2 แสนบาท ประกันตัวระหว่างที่นายจตุพรฎีกาสู้คดี ซึ่งศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
โดยคดีนี้ ถือเป็นคดีที่ 4 ที่นายอภิสิทธิ์ ยื่นฟ้องนายจตุพรข้อหาหมิ่นประมาท
ในคดีอื่นๆ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกนายจตุพร เป็นเวลา 1 ปี ในคดีหมิ่นประมาทหมายเลขดำ อ.1962/2552 ที่มีนายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายจตุพรในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332 โดยคำพิพากษาระบุว่า นายจตุพรมีความผิดจริงตามฟ้องให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี
โดยไม่รอลงอาญา ทำให้นายจตุพรถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ นับตั้งแต่นั้น
“นายจตุพร จำเลยในฐานะแกนนำมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองกับโจทก์อย่างรุนแรง ก็ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัด และวิเคราะห์ข้อมูลให้รอบด้าน ก่อนที่จะมีการกล่าวปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะการปราศรัยของจำเลยในฐานะแกนนำดังกล่าว ย่อมเป็นข่าวออกไป และส่งผลกระทบต่อโจทก์ รวมทั้งสังคมอย่างกว้างขวาง” ตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุ
ในคดีนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้ยื่นฟ้องนายจตุพร เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2552 โดยระบุว่า วันที่ 10 พฤษภาคม 2552 นายจตุพรได้ปราศรัยใส่ความรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ว่า เป็นรัฐบาลภายใต้ทรราชฟันน้ำนม รวมทั้งกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนสั่งทหารให้ไปยิงประชาชน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ชี้ว่า ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ สร้างความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียง และทำให้เกิดการถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ส่วนอีก 2 คดี ก่อนหน้าการตัดสินคดีในนี้ ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกนายจตุพร 6 เดือน แต่รอลงอาญา 2 ปี ในคดี อ.1008/2553 และ ศาลพิพากษาให้จำคุกนายจตุพร 6 เดือน และปรับเงิน 5 หมื่นบาท แต่รอการลงโทษ 2 ปี ในคดี อ.404/2552
3) นี่ขนาดมีกฎหมายตราไว้แล้วนะครับ คนคนหนึ่งยังกระทำความผิดซ้ำซาก มีพฤติกรรม “วาจาทุจริตอย่างสม่ำเสมอ” จนถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ครั้งแล้วครั้งเล่า สู้กันสามศาล ศาลก็พิพากษาว่าผิดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ให้ความเมตตา รอลงอาญาบ้าง ยังไม่ลงโทษบ้าง จนมาเกิดพฤติกรรมร้ายแรง ขาดความยำเกรง พาดพิงไปเกี่ยวพันกับ “สถาบัน” นั่นแหละ จึงต้องลงโทษให้เข็ดหลาบ คิดดูสิครับ ถ้าไม่มีกฎหมายนี้ ถ้าผู้เสียหายไม่ใช้สิทธิ จะวิปริตกันขนาดไหน ในการกล่าวหาโจมตีกันด้วยความเท็จ ใส่ร้ายให้เกิดความเกลียดชัง เพื่อยุยงปลุกปั่นกันไปกระทำการใดการหนึ่ง โดยหวัง “ชัยชนะทางการเมือง” เป็นที่ตั้ง อย่างนี้หรือ ที่คนอย่างนางธิดาคิดว่าดีแล้ว ข้ามกฎหมาย ข้ามความสุจริตและความมีศักดิ์ศรีไปเสีย เพื่อไปคว้า “ชัยชนะทางการเมือง”
4) พอได้ชัยชนะทางการเมืองมาแล้วยังไงต่อครับ ทรยศหักหลัง “คนเสื้อแดง นปช.” ที่ลงคะแนนทางการเมืองสนับสนุน เพื่อให้แกนนำ นปช. มาได้ดิบได้ดี มีเงินเดือนกิน มีตำแหน่งแห่งหน
ขณะที่คนเสื้อแดงตกระกำลำบาก บ้างเข้าคุกเข้าตาราง บ้างเสียลูก เสียคนที่ตนรัก ซ้ำยังมาถูกทรยศหักหลัง ด้วยการเอาเสียงจาก “ชัยชนะทางการเมือง” นั้น มา “ฝังกลบศพคนตาย” โดยไม่ให้ได้รับความเป็นธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องดำเนินคดี ไม่ต้องใช้กระบวนการศาลมาช่วยไต่สวน-ตัดสิน เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ “คนตาย” และครอบครัวที่ยังอยู่ เช่น ครอบครัวของนางพะเยาว์ อัคฮาด เป็นต้น ด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในขณะที่ตนเองก็เมามันกับการกล่าวหา ว่ามีคนสั่งทหาร ให้ไปฆ่าประชาชนเหล่านั้น แต่ก็เอาชัยชนะทางการเมือง มา “ประหารซ้ำ” ด้วยการให้ความตายที่เกิดขึ้น ไม่ต้องค้นหาความจริงและให้ความเป็นธรรม ตรรกะแบบนี้ “ปกติดี” อย่างนั้นหรือครับ
5) คนเสื้อแดงพึงตั้งคำถามว่า ในเหตุการณ์การออกกฎหมายดังกล่าว นางธิดากับผัว สู้สุดใจขาดดิ้นเพียงใด หรือยอมจำนน เพราะกังวลว่าโอกาสต่างๆ ที่ได้รับจะสูญไป ควรตรวจสอบพฤติกรรมย้อนหลังไป ว่าเขารักษา “หลักการ” และ “ชีวิตคน” ก่อนผลประโยชน์และโอกาสของพวกเขาหรือไม่
6) มาที่เรื่องนายนคร มาฉิม ความจริงลำพังตัวคนกับตัวคนนั้น “ขอกันกิน” ยังมากกว่านี้ แต่การสมควรต้องดำเนินคดีก็เพราะ “ความเสียหายต่อตัวองค์กร” ที่ถูกกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย จำเป็นต้อง “พิสูจน์กัน” เพื่อให้สังคมได้ทราบและจดจำ “ความจริง” มิใช่ “เรื่องแต่ง” ที่ปราศจากความรับผิดชอบ ถ้าจะกราบขอโทษกันเพื่อมิให้เอาความ ก็แถลงเสียให้เป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่มามีลูกเล่น อ้างตรรกะสารพัด เพียงเพื่อจะมิให้เขาฟ้องอย่างน่าไม่อายอย่างนี้
ไม่ต้องอ้างนายพิชัย รัตตกุล หรือทฤษฎีอะไรทั้งนั้น
แค่กลับไปที่ “ความเป็นมนุษย์” และ “หลักกฎหมาย” ให้ได้ก็พอว่า
ไม่ควรมีมนุษย์คนใด หรือองค์กรใด ถูกกล่าวหาได้ด้วยความเท็จ ด้วยความเลื่อนลอย ว่าไปกระทำอย่างนั้น อย่างนี้ จนเกิดความเสียหาย โดยไม่พิสูจน์ แล้วปล่อยให้สังคมจนความเท็จนั้น รู้สึกดูหมิ่น เกลียดชัง โดยไม่ชำระสะสางอย่างเป็นทางการ ด้วยองค์กรตรวจสอบที่สังคมออกแบบไว้เพื่อใช้งาน
เขาจึงไม่ได้ดำเนินคดีเพราะมีปัญหา “ส่วนตัว” แต่ต้องดำเนินคดี “ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” ว่าการจะกล่าวอะไรที่ไปสร้างผลกระทบกับใคร ต้องกล่าวด้วย “ความรับผิดชอบ”
ส่วนจะต้องปรับปรุงแก้ไขพรรคเพียงใดนั้น เทียบกันกับพรรคที่นางธิดาไปสังกัดหรือฝักใฝ่ พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยถูก “ยุบพรรค” เพราะกรรมการบริหารพรรคหรือรองหัวหน้าพรรค “ทุจริตการเลือกตั้ง” เพื่อให้พรรคได้ชัยชนะทางการเมืองเลย
แพ้อย่างขาวสะอาด ดีกว่าชนะอย่างคดโกง จริงไหมครับป้าธิดา!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี