เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้กล่าวถึงนักการเมืองดีๆ ไปแล้ว 1 ท่าน คือ คุณควง อภัยวงศ์ ความจริงนักการเมืองดีๆ ยังมีอีกไม่น้อย อาทิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี 4 สมัย เช่นเดียวกับคุณควง อภัยวงศ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี แม้จะเป็นเพียงสมัยเดียว ในระยะเวลาเพียงสิบเดือน แต่ยูเนสโก (UNESCO) ก็ประกาศยกย่องเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2552 ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในสาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน
อดีตนายกรัฐมนตรีอีกท่านหนึ่ง ที่ไม่ควรจะกล่าวเลยไป ได้แก่ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารของประเทศ (นายกรัฐมนตรี) ถึง 5 สมัย หลังจากการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 รวมเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหารถึง 5 ปี
ผู้ที่เข้าไปเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ทั้ง 4 ท่าน ที่กล่าวมาข้างต้น จากพฤติกรรมของท่านจะเห็นได้ว่ามิได้เข้ามา “เล่นการเมือง” แบบนักการเมืองในยุคหลังๆ แต่เข้ามาด้วยเจตนาเข้าสู่อำนาจบริหารเพื่อสร้างชาติ สร้างประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าเท่าเทียมอารยประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้คนไทยอยู่ดีกินดีมีชีวิตที่สุขสบายตามสมควร ไม่ยากจนแร้นแค้นเหมือนในยุคหลังๆ ที่มีคนเข้ามา “เล่นการเมือง” เพื่อ “ทำธุรกิจการเมือง” เพื่อสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง ครอบครัว และสมัครพรรคพวก
ดังนั้น คุณลักษณะประการแรก ที่เหมือนๆ กัน ของทั้งสี่ท่านข้างต้น ก็ได้แก่ การผ่านการศึกษาทางวิชาชีพที่ดี ระดับสากล แล้วกลับเข้ามาทำงานในวิชาชีพที่เรียนมาจนประสบความสำเร็จในอาชีพของตน เช่น เป็นผู้บัญชาการทหารบ้าง เป็นอธิบดีบ้าง เป็นผู้พิพากษาบ้าง เป็นเอกอัครราชทูตบ้าง เป็นผู้จัดการธนาคาร และอาจารย์บ้าง จึงนับว่ามีการศึกษาดี (แต่ก็ไม่จำเป็นว่าต้องมาจากสถานศึกษาในต่างประเทศเท่านั้น) และมีความสามารถ และประสบการณ์ดีจากการทำงานในอาชีพของตนจนเป็นที่ยอมรับได้
คุณลักษณะประการที่สอง ที่เหมือนๆ กันของท่านทั้งสี่ ประการที่สอง ก็ได้แก่ การรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดกอบโกย หรือคอร์รัปชั่น ไม่เล่นพรรคเล่นพวกโดยไม่คำนึงถึงความสามารถ สนับสนุนคนดีให้มีความก้าวหน้า และเป็นข้าราชการการเมือง ก็ไม่รังแกเบียดเบียนผู้ประกอบธุรกิจ ไม่กินสินบาทคาดสินบน หรือมีส่วนได้เสียในโครงการต่างๆ ของรัฐ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่นักการเมืองน้ำเน่าได้ทำไว้ ก็ทยอยเพิ่มขึ้นจาก 5% จนเป็น 10% จนถึง 30% และ 50% จนกระทั่งมีคนรวยเป็นกระจุก แต่คนจนมีทั่วไปหมด
สรุปแล้ว คุณลักษณะข้างต้น ก็ได้แก่ การเป็นคนดี มีคุณธรรม (Moral) มีจริยธรรม (Ethics) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติ มากกว่าประโยชน์ของตน และของพรรค ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองมโหฬารเอาไว้ให้ทายาทใช้หลังจากพ้นตำแหน่งแล้ว
คุณลักษณะประการที่สาม ของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสี่ข้างต้น ก็คือท่านเป็นคนที่มีความรู้และความสามารถ ถึงแม้สมัยก่อนโลกาภิวัตน์ (Globalization) จะยังไม่แพร่หลายเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก แต่ท่านทั้ง 4 ข้างต้นก็มีคุณสมบัติในด้านอุดมศึกษาระดับอินเตอร์ ที่จะนำประเทศไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับอารยประเทศได้ เช่น
พลเอกพระยาพหลพลหยุหเสนา เรียนโรงเรียนนายร้อยทหารบกเพียงประมาณปีเดียว ก็ได้รับทุนไปเรียนโรงเรียนนายร้อยทหารบก ที่ประเทศเยอรมนี ในปี พ.ศ.2446 (ค.ศ.1903) และเรียนสำเร็จได้เข้าประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4ของประเทศเยอรมนี เมื่อปีพ.ศ. 2453 (ค.ศ.1910) รวมแล้วอยู่ในเยอรมนีถึง 7 ปี ตอนไปก็เป็นเด็กอายุเพียง 16 ปี อยู่ในท่ามกลางเพื่อนักเรียนนายร้อยเยอรมนี ถึง 7 ปี ตอนท่านประกาศเหตุผลของการปฏิวัติ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ก็ยังต้องอ่านจากประกาศที่เขียนด้วยภาษาเยอรมนี แต่อ่านออกมาเป็นภาษาไทยให้คณะราษฎรที่มาชุมนุมกันอยู่ (ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ประชาชน) ได้รับทราบ
สรุปแล้ว ก็มีความรู้ในวิชาชีพทางทหารสูงระดับสากล สามารถกระทบไหล่ผู้นำประเทศต่างๆ ได้ เมื่อมีโอกาส
นายควง อภัยวงศ์ ถูกส่งไปเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าที่เมือง Lyon ณ สถาบันที่มีชื่อเสียงของประเทศฝรั่งเศส ได้แก่ Ecole normale de Lyon เรียนจบก็กลับเข้ามารับราชการในกรมไปรษณีย์โทรเลข จากนายช่างโทรเลขจนเป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เคยนำคณะไปประชุมว่าด้วยกิจการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และกิจการไปรษณีย์สากล ในการประชุมใหญ่ระหว่างประเทศอยู่หลายครั้ง
สรุปแล้ว แม้จะมีความรู้ด้านวิศวกรรม และประสบการณ์ด้านไปรษณีย์โทรเลขระดับสากล เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ก็สามารถเจรจาเคียงบ่าเคียงไหล่กับนายกรัฐมนตรีประเทศต่างๆ ได้อย่างสบาย
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เรียนโรงเรียนมัธยมที่สวนกุหลาบวิทยาลัย แล้วไปศึกษากฎหมายต่อที่ประเทศอังกฤษ ที่ Worcester College และที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด จนสำเร็จเนติบัณฑิตอังกฤษ จากสำนักเกรย์อินน์ ได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง กลับมาเมืองไทยรับราชการเป็นผู้พิพากษา และต่อมาโอนไปทำงานกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเอกอัครราชทูตไทยที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีบทบาทสำคัญในการเป็นหัวหน้าเสรีไทยในสหรัฐอเมริกาทำให้ สามารถปล่อยประเทศไทยให้พ้นจากการเป็นผู้แพ้สงครามโลกได้ และคัดค้านการที่ฝรั่งเศสขอคืนพระแก้วมรกตให้แก่ลาวจนเป็นผลสำเร็จ
เคยเป็นนายกรัฐมนตรี 4 สมัย ลาออกไปเพราะแพ้คะแนนไม่วางใจ 1 ครั้ง และถูกจี้จากคณะทหารให้จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อีก 1 ครั้ง ก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้านในรัฐสภา อย่างมีสปิริต
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้จบการศึกษา ด้าน PPE (Philosophy, Politics และ Economics) จากมหาวิทยาลัย Oxford กลับมาทำงานในกระทรวงการคลัง ธนาคารชาติ และธนาคารพาณิชย์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยมีเสียง สส. ในพรรคตนเพียง 18 คน หลังจากที่ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ เสร็จหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญแล้ว เคยเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ระหว่างปี พ.ศ.2516 ถึง 2517
คุณสมบัติประการที่สี่ ที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีน้ำดีทั้งสี่ท่านมี ก็คือ การเป็นผู้มีอุดมการณ์ (Ideology) ในการสร้างประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนชาวไทย มิได้เข้ามา“เล่นการเมือง” เพื่อทำธุรกิจการเมือง ให้ตนเองและครอบครัวร่ำรวยแต่อย่างใด ถึงแม้หลายท่านจะเป็นนายกรัฐมนตรี 4-5 ครั้ง บางท่านก็เป็นรวมแล้วหลายปี ก็มิได้ฉวยโอกาส และกอบโกยผลประโยชน์ไว้เช่นเดียวกับ “นักการเมืองน้ำเน่า” ในยุคหลังรัฐธรรมนูญ ฉบับ ปี พ.ศ.2517
จึงจะเห็นได้ว่า ศีลธรรม และความเสื่อมโทรมทางการเมืองของไทยที่เป็นประชาธิปไตยระบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) เสื่อมโทรมลงมาในยุคที่สองของประชาธิปไตย คือ หลังจากยุคสภานิติบัญญัติยุคสมัชชาแห่งชาติ หรือสภาสนามม้า เป็นต้นมา หรือที่เราเรียกสมัยหลังนี้ว่า สมัยประชาธิปไตยเต็มใบ
จนเกิดความสงสัยว่าการจะแก้ไขและยกระดับผู้มาบริหารบ้านเมืองให้ดีขึ้น ให้เหมือนยุค 2475–2518 อันเป็นระยะแห่งคนดีมีอุดมการณ์ได้หรือไม่ และอย่างไร
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี