ผู้คนในบ้านเมืองของเราขณะนี้ กำลังอยู่ในหลุมดำแห่งความมืดมิดไร้แสงสว่าง หาทางออกไม่ได้ ดำรงชีวิตในแต่ละวันด้วยความลำบากยากแค้น ข้าวแทบไม่มีกิน แต่หนี้สินพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การบริหารบ้านเมืองของคนถือปืน ซึ่งทุกคนฝากความหวังไว้อย่างสูง ว่าจะจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากผู้บริหารชุดก่อน ทำไว้เสียหายยับเยินเพื่อประโยชน์ตนอย่างเดียว
แต่เข้าปีที่ 5 ของการได้ปืนมาจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ดังกล่าว ผู้คนที่ลำบากยากเข็ญแทบทั้งบ้านเมืองก็ยังออกจากหลุมตำแหน่งความมืดมิดไม่ได้ และดูเหมือนจะลำบากยากไร้ลงไปอีกในผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศขณะนี้ โดยเฉพาะผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่อยู่ในชนบท
เห็นภาพหรือได้ยินข่าวเรื่องการออกไปในพื้นที่ต่างๆของผู้มีหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองในระยะที่ผ่านมาแล้ว ก็เห็นและได้ยินแต่เรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นสาระอะไรกับเรื่องการคิดอ่านให้มีการแก้ไข จัดการกับชีวิตความเป็นอยู่พื้นฐานของชาวบ้านเหล่านั้น นอกจากการโชว์ตัว แสดงความเป็นกันเองกับชาวบ้าน หรือเอาเงินหลวงไปแจกในบางที่บางแห่ง
เรื่องที่จะคิดอ่านแก้ไขปัญหาระยะยาวไม่ค่อยจะได้ยิน
ผู้คนที่นำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจสังคมในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน เตลิดเปิดเปิงไปกับเรื่องทุนใหญ่ ถึงขนาดให้สิทธิ์โน่นสิทธิ์นี่มากมาย แต่ไม่เคยเห็นคนพวกนี้คิดอ่านวางแผนทำงานกันอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหาระยะยาวให้กับชาวบ้านในชนบทที่กำลังอดอยากอยู่ในขณะนี้
ขอให้หยุดฟุ้งซ่านเรื่องอื่นๆไว้ก่อน
หันกลับมาคิดและแก้ไขปัญหาหลักของบ้านเมืองขณะนี้ คือ ปัญหาความยากจนของผู้คนในบ้านเมือง ที่แทบไม่มีอะไรจะยาไส้ในขณะนี้ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชนบท
นโยบายของรัฐบาล แนวทาง และมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ต้องรีบทบทวนกันใหม่ให้เหมาะสมและถูกต้อง ตลอดจนการปฏิบัติงานของข้าราชการตามกระทรวงทบวงกรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งต้องจริงจังในการทำงานแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร และตรงไหน ก็ให้ไปดู “ศาสตร์พระราชา” ที่ได้ทรงแนะนำไว้ อย่าดีแต่พูดเรื่องศาสตร์พระราชาที่ชอบพูดอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยปฏิบัติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในชนบทห่างไกลทุกภาคของประเทศ ทรงทราบถึงปัญหาต่างๆดังกล่าวเป็นอย่างดี และได้มีพระราชดำริที่จะแก้ปัญหาของประชาชนในชนบทด้วยวิธีการต่างๆหลายประการด้วยกัน ตามลักษณะของปัญหาและสภาพตามกายภาพของปัญหาในพื้นที่นั้นๆ
แนวทางสำคัญคือมุ่งช่วยเหลือพัฒนาพึ่งตนเองได้ในชนบท
การที่ราษฎรในชนบทจะสามารถพัฒนาพึ่งตนเองได้นั้น ทรงเน้นการพัฒนาอย่างน้อยใน 2 ประการ ประการแรกได้แก่ การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักที่จำเป็นต่อการผลิต อันจะเป็นรากฐานนำไปสู่การพึ่งตนเองได้ในระยะยาว โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญคือแหล่งน้ำ เพราะแหล่งน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกษตรกรโดยเฉพาะที่ต้องพึ่งพาแต่น้ำฝนได้มีโอกาสที่จะผลิตได้ตลอดปี เป็นเงื่อนไขข้อแรกที่จะทำให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ในเรื่องอาหารได้ระดับหนึ่ง และเมื่อชุมชนแข็งแรงพร้อมดีแล้ว ก็อาจจะมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการยกระดับรายได้ของชุมชน เช่น เส้นทางคมนาคม ฯลฯ การพัฒนาในลักษณะที่เป็นการมุ่งเตรียมชุมชนให้พร้อมติดต่อ สัมพันธ์ กับที่ต่างๆ ซึ่งจะตามมาเป็นขั้นตอนอย่างนี้ ทรงเรียกว่า “การระเบิดจากข้างใน”
ต่อมาจากนี้ก็คือ การส่งเสริมหรือสร้างเสริมสิ่งที่ชาวชนบทขาดแคลน และเป็นความต้องการอย่างสำคัญ ซึ่งก็คือเรื่องของความรู้ในเรื่องการทำมาหากิน การทำการเกษตร โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะการพึ่งตนเอง
ในทางปฏิบัติการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นนั้น ได้ทรงใช้เทคนิควิธีการต่างๆหลายประการ ประการแรกคือ การพัฒนาโดยยึดปัญหาและสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่เป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่องความกระตือรือร้นของคนในพื้นที่ รวมทั้งปัญหาและความต้องการของเขาเหล่านั้นมากเป็นพิเศษ ด้วยพระราชดำรัสที่ว่า
“การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์และประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา ภูมิประเทศตามสังคมวิทยาคือ นิสัยใจคอของคนเราจะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เราต้องเข้าไป ไปช่วยโดยที่จะตัดเขาให้เข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจ หลักการของการเข้าไปพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง”
หลักการพัฒนาชนบทที่สำคัญต่อมาคือ การรวมกลุ่มประชาชนพื่อแก้ปัญหาหลักของชนบท ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาพึ่งตนเอง โดยเฉพาะการรวมตัวกันในรูปของสหกรณ์ทุกพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาที่ชุมชนเผชิญอยู่ร่วมกัน หรือเพื่อให้ทำมาหากินของชุมชนโดยส่วนรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด
การพัฒนาโดยกระตุ้นให้ผู้นำชุมชนให้เป็นตัวนำในการพัฒนา ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในพื้นที่บางแห่งตามความเหมาะสม โดยเน้นผู้นำในด้านคุณธรรม ความโอบอ้อมอารี ความเป็นคนในท้องถิ่นและรักท้องถิ่น
หลักการพัฒนาอีกประการหนึ่งก็คือ จะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน และชุมชนควรพึ่งตนเองได้ในเรื่องอาหารก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงค่อยก้าวไปสู่การพัฒนาเรื่องอื่นๆ
นี่คือแนวทางการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คนในชนบทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 พระราชทานไว้ให้จากการที่ได้ไปช่วยเหลือผู้คนในชนบทต่างๆ
นำมากล่าวให้คนรับผิดชอบในการบริหารบ้านเมืองในขณะนี้ฟัง จะได้รู้จักคิดเป็น ทำเป็น บ้านเมืองจะได้เห็นแสงสว่างบ้าง ไม่ใช่ไปโชว์ตัวและพูดโน่นพูดนี้
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี