การติดตามตัวอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หายตัวไปจากประเทศไทยในวันตัดสินคดีจำนำข้าว เป็นระยะเวลาเกือบปีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ เดินทางออกนอกประเทศ จนกระทั่งล่าสุดมีแหล่งข่าวที่ชัดเจนว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ได้พำนักอยู่ในประเทศอังกฤษ จึงเป็นที่มาของการขอความร่วมมือจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อติดตามตัว และส่งตัวกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นโดยทันท่วงที คือ การพยายามสร้างกระแสว่ามีการบอยคอตต์ประเทศไทยในช่วงวาระการดำรงตำแหน่งของรัฐบาล คสช. รวมถึงข่าวสื่อต่างประเทศบางสื่อพูดวิจารณ์การขึ้นเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีหน้าว่าไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า สำนักข่าวไทยที่ไปยกเอาประเด็นจากสำนักข่าวต่างประเทศเหล่านี้มาขยายความ ต้องการอะไรในช่วงนี้ หรือผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างข่าวนี้ต้องการการเบี่ยงประเด็นเพื่อเป้าหมายทางการเมือง?
จริงอยู่ในช่วงการเข้าดำรงตำแหน่งของรัฐบาล คสช. ใหม่ๆ มีประเด็นการไม่ยอมรับจากต่างชาติ ถึงเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลจากการรัฐประหาร แต่ตลอดช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา ก็ได้มีความพยายามของรัฐบาล คสช. ในการทำความเข้าใจกับนานาประเทศ ถึงเหตุผลและความจำเป็นของการเปลี่ยนผ่านประเทศไทย โดยเฉพาะการชูว่าประเทศไทยจะเข้าสู่แผนการเลือกตั้งที่วางไว้ ข้อเท็จจริงก็คือสถานการณ์ต่างประเทศไม่เหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว การที่นายกฯประยุทธ์ ได้ถูกเชิญไปร่วมประชุมพบปะกับประเทศชาติตะวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือกระทั่งเวทีโลกอย่างสหประชาชาติ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงมติของสหภาพยุโรปต่อเรื่องสถานะของประเทศไทย ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสถานะของไทยในเวทีนานาชาติ หรือท่าทีที่เปลี่ยนไปต่อประเทศไทย อะไรทำให้การเมืองระหว่างประเทศเปลี่ยนไปทั้งที่รัฐบาล คสช. ก็เป็นรัฐบาลเช่นเดิม
ตกลงแล้วความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ หรือการเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ถูกผูกไว้กับประชาธิปไตยแบบใด?
แม้จะเป็นเรื่องจริงที่ว่าพรรคเพื่อไทย ตลอดจนไทยรักไทย และพลังประชาชน ในอดีตจะได้รับการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่นั่นคือความหมายของการเป็นประชาธิปไตยแค่นั้นหรือ? เพราะตลอดการเข้าดำรงตำแหน่งของรัฐบาลระบอบทักษิณ ได้ทิ้งอะไรเป็นแผลไว้ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบไทยบ้าง? ประชาธิปไตยแบบใดกันที่ควบรวมพรรคเล็กเข้าเป็นพรรคตัวเองจนทำให้การตรวจสอบถ่วงดุลไม่สามารถทำได้? ประชาธิปไตยแบบใดกันที่ผ่านร่างกฎหมายกันกลางดึกเพื่อนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดคดีทุจริต?
จึงมีคนตั้งคำถามว่า ประชาธิปไตยแบบเพื่อไทย คือ ประชาธิปไตยแบบใดกันแน่ และตรงกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่? เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูก็มีคนตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ว่าเหตุใดจึงมีคนที่เกี่ยวข้องกับคดี ม.112 หรือมีประเด็นเกี่ยวข้อง มีความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยอยู่มากมาย ตั้งแต่เป็นคนในพรรคไทยรักไทย จนถึงเพื่อไทย ก็มักเกี่ยวเนื่องพาดพิงทั้งประเด็น และตัวบุคคลในม.112 มาโดยตลอดใช่หรือไม่? จนหลายคนกังวลถึงเรื่องนี้ รวมถึงข้อสงสัยกรณีแกนนำเสื้อแดงบางคนที่พูดพาดพิงถึงสถาบันฯ ขึ้นเวทีเดียวกับรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย เมื่อครั้งนั้นใช่หรือไม่? ไม่เว้นแม้แต่อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างนายจารุพงศ์ ที่ยังหลบหนีไปต่างประเทศเพราะคดีหมิ่นฯ? ตลอดจนข้อสงสัยเรื่องเว็บไซต์ โซเชียลมีเดียต่างๆ ที่ผุดขึ้นอย่างมากในสมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกันบ้าง?
นอกจากนั้นแล้วประชาธิปไตยแบบเพื่อไทย ที่พยายามจะสร้างภาพว่าเป็นโรบินฮู้ด กล่าวคือ เอาเงินคนรวย มาช่วยคนจน แต่ความจริงผลการดำเนินนโยบายของรัฐบาลระบอบทักษิณ คือ กำลังอ้างคนจน เพื่อตั้งงบประมาณไปช่วยธุรกิจคนรวยบางกลุ่มมากกว่าหรือไม่? เห็นได้จากนโยบาย และเมกะโปรเจกท์ลงทุนต่างๆ เพื่อคนจนที่สุดท้ายหนีไม่พ้นการให้ประโยชน์แก่ธุรกิจแบบกึ่งผูกขาดหลายประเภทที่เป็นนายทุนสนับสนุน?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจสื่อสาร โทรคมนาคม และสุดท้ายก็เป็นสินค้าเกษตร ตั้งแต่ปุ๋ย หอมแดง ลำไย จนไปถึงกรณีของข้าวที่ใช้งบประมาณกว่าแสนล้าน ซึ่งการอ้างนโยบายเพื่อช่วยคนจนดังกล่าว ทำให้เกิดการตั้งงบประมาณผ่านโครงการ ทำให้เกิดการจ่ายเงินผ่านเข้าไปในระบบที่มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และสุดท้ายเอกชนรายใหญ่ก็รับเงินไป เช่น โครงการจำนำข้าวที่สุดท้ายนำมาสู่การขายข้าวแบบจีทูจี การแปลงสัญญาสัมปทาน และการเปลี่ยนระบบจ่ายภาษีโทรคมนาคม เป็นต้น การใช้กลยุทธ์ทางสื่อเพื่อผลักทุกฝ่ายออกไปจากระบอบประชาธิปไตย และผูกตัวเองไว้ว่าเป็นผู้รักษาประชาธิปไตยเพียงฝ่ายเดียวนั้น แท้จริงแล้วกำลังสร้างกระแสบางเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนบางเรื่องหรือไม่? ประเด็นทุจริตที่ทุกคนยังสงสัย ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่คนยังสงสัย ต้องยอมรับความจริงว่าประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนจากการเมืองแบบสองขั้วไปสู่การเมืองแบบสามขั้วเต็มตัวแล้ว คือ ขั้วระบอบทักษิณ ขั้วประชาธิปัตย์ และขั้วรัฐบาลคสช. ที่อาจจะมีการต่อยอดตั้งพรรคการเมืองต่อไป
ทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอีกที การต่อสู้ทางการเมืองนี้จึงต้องมองให้ออกว่าแต่ละขั้วต่างกันอย่างไรและใครได้เปรียบเสียเปรียบในเกมต่างๆ การที่ขั้วระบอบทักษิณพยายามจะโจมตีรัฐบาล คสช. ต่อประเด็นการไม่ยอมรับของนานาชาติต่อที่มาของรัฐบาล คสช. นั้น ประเด็นนี้เหมือนจะเก่าไปแล้ว เพราะเวลานี้นานาชาติต่างให้การยอมรับรัฐบาลไทยอย่างเสมอภาคกับประเทศอื่นๆ รัฐบาล คสช. ก็ยังคงเป็น
แบบเดิมดังนั้น
ปัจจัยด้านการเมืองระหว่างประเทศ แท้จริงแล้วอาจจะมีอย่างอื่นอยู่เบื้องหลัง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็ไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตยเลย ประชาธิปไตยแท้จริงเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สร้างความร่วมมือกันเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายก็จะพบว่ามีทนายคนดังจากพรรคเพื่อไทย ไปร้องต่อสถานทูตอังกฤษว่าการพิจารณาคดีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ไม่เป็นธรรม เพราะเป็นระบบศาลเดียวไม่เปิดให้มีการอุทธรณ์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วศาลฯมีช่องทางในการอุทธรณ์ แต่อดีตนายกฯ ต่างหากที่หนีการพิจารณาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ก็สะท้อนให้เห็นภาพว่าที่ต่อสู้อ้างประชาธิปไตยมาตลอดนั้นทั้งหมดก็เพื่อปูทางไปสู่การช่วยคดีอดีตนายกฯ และหาทางลี้ภัยทางการเมืองใช่หรือไม่? ฝั่งประชาธิปัตย์เองก็ต้องมีความชัดเจนว่าตัวเองนั้นไม่ยึดโยงกับรัฐบาล คสช. และผู้สนับสนุนรัฐบาลคสช. อย่างไร? และต้องตอบคำถามให้ได้ว่าประชาธิปไตยแบบประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร ต่างจากเพื่อไทยอย่างไร?
กลับมาฝั่ง รัฐบาล คสช. ก็ต้องมีความชัดเจนว่าการบริหารประเทศเป็นการบริหารชั่วคราวเพื่อกลับมาสู่การเลือกตั้งและประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ถ้าจะต้องลงแข่งในอนาคตเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน ทั้งในเรื่องการปลดล็อกพรรคการเมือง ความชัดเจนในการผ่านร่างกฎหมาย การสรรหาผู้ตรวจการเลือกตั้ง ที่ต้องแสดงให้เห็นความจริงใจในการแข่งขัน ตลอดจนต้องไม่ประวิงเวลาการเลือกตั้งเพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้ใครคนใดคนหนึ่ง
โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง เรื่องบางอย่างที่ คสช. อาจคาดไม่ถึงก็เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาโจมตีได้ ก้าวสุดท้ายก่อนการลงจากตำแหน่งจึงเป็นก้าวที่สำคัญเพราะ คสช. กำลังเล่นเกมในสนามที่ตัวเองมีแต่กำลังแต่ไร้ซึ่งประสบการณ์ แม้ตอนนี้จะมีอำนาจพิเศษต่างๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่การันตีความอยู่รอดในอนาคตของตัวเองหลังการเลือกตั้งได้ กระแสข่าวโจมตีเป็นเรื่องปกติที่ต้องพบเจอ แต่สิ่งที่รัฐบาลคสช. ต้องตระหนักให้ดีคือความคาดหวังของประชาชนที่เชื่อมั่นในความซื่อตรงของรัฐบาล คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดในเวลานี้ โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนจากอุทกภัย ตลอดจนการรักษาสถานะประเทศในการเป็นประธานอาเซียนในปีหน้าให้ได้ เรื่องของการเมืองก็ให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองเขาว่ากันไปไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าหรือพรรคใหม่........
ความทระนงเป็นบ่อเกิดแห่งความชะล่าใจ
คำคมโกวเล้งจากเรื่อง เล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี