นับแต่คณะราษฎรทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยยึดอำนาจการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อ้างว่าจะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยจากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 86 ปีแล้ว
ถ้าเปรียบกับอายุของคนก็เข้าสู่วัยชราเต็มตัว แต่การปกครองของประเทศยังก้าวไม่พ้นวังวนแห่งการปกครองระบอบอำมาตยาธิปไตยเลย แม้ในอนาคตอันใกล้ที่องค์อธิปัตย์ประกาศว่า จะผ่อนคลายอำนาจการปกครองจากอำนาจเผด็จการไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยฟันปลอม โดยมอบอำนาจอธิปไตยบางส่วนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองตามกติกาที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2560 ก็ตาม ในทางปฏิบัติก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจแก่ประชาชนที่หวังว่า ประเทศควรเดินทางไปสู่การเป็นสังคมประชาธิปไตยดังกล่าว
แต่ความหวังดังกล่าวคงจะไม่สมปรารถนาทั้งที่อำนาจที่ควรจะคืนให้แก่ประชาชนกลับกลายเป็นว่าพวกที่สนับสนุนองค์อธิปัตย์ให้ยึดกุมอำนาจการปกครองต่อไปอีก โดยกลุ่มที่สนับสนุนซึ่งมีมากกว่าหนึ่งกลุ่มต่างก็มุ่งหวังที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารทั้งๆ ที่บางคนบางกลุ่มก็เป็นผู้ที่องค์อธิปัตย์ได้ทำการขับไล่ด้วยข้อกล่าวหาประพฤติมิชอบแต่ชั่วเวลาไม่นานกลับเข้ามาอาสาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในการกรุยทางให้องค์อธิปัตย์กลับเข้ามาในบทบาทในการปกครองระบอบประชาธิปไตยฟันปลอมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ถ้าการเมืองของประเทศจะเดินต่อไปตามแผนที่องค์อธิปัตย์ได้สัญญาไว้กับประชาชน ซึ่งแม้ประชาชนผู้ใฝ่ฝันที่จะเห็นการเมืองของประเทศไทยเดินทางสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ก็ทำใจได้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากการเมืองไทยตลอดระยะเวลากว่า 86 ปีที่ผ่านมาไม่เคยหลุดพ้นจากการปกครองดังกล่าวเลย เพราะเป็นไปตามสุภาษิตที่ว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่เหลาๆ ไปเป็นบ้องกัญชา”
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากประชาชนเองที่เรียกตัวเองว่าเจ้าของประเทศไม่ทำตัวให้สมกับสังคมประชาธิปไตยเพราะไม่รู้จักความหมายของคำว่า สังคมที่สังคมประชาธิปไตย ซึ่งหมายถึง สังคมที่การปกครองเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ทั้งนี้เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่ถูกนักการเมืองจอมปลอมใช้เงินตราสลับกับผู้ถืออาวุธยึดอำนาจจากการปกครองตลอดมา ทั้งนี้เพราะสังคมไทยยังสลัดไม่หลุดพ้นจากสังคมชนชั้น ประชาชนส่วนใหญ่ตกเป็น “ทาสที่ไม่ยอมปลดปล่อย” ที่ถือคติว่า “ธุระไม่ใช่” รวมทั้งยอมรับสุภาษิตที่ว่า “แข็งเท่าแข็ง เงินง้างอ่อนได้ดังประสงค์”
ฉะนั้นตราบใดที่ประชาชนยังมีอัตตาเช่นที่กล่าวข้างต้น ประเทศไทยยากที่จะเป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงดังเฉกเช่นประเทศที่ปกครองดังกล่าว นอกจากเป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยฟันปลอมเท่านั้น
สุดท้ายนี้ การเมืองการปกครองของประเทศจะเป็นการปกครองโดยขึ้นอยู่กับคนในสังคมนั้นๆ อย่าไปโทษอำนาจอื่นใดว่าเป็นเพราะผู้ถืออาวุธหรือผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งตราบเท่าที่ประชาชนซึ่งถือตัวว่าเป็นเจ้าของประเทศ ยังยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจเงินตราแล้ว ไม่ว่าจะเรียกร้องหาสังคมประชาธิปไตยโดยเดินทางออกมาเต็มท้องถนนจำนวนมากเท่าใดก็ตาม แต่โดยความเป็นจริงแล้วเปรียบเสมือนสุภาษิตที่ว่า “ไฟไหม้ฟาง” เว้นเสียแต่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเข้าใจและยึดมั่นในเรื่องสิทธิและหน้าที่ที่ตนมี เมื่อนั้นสังคมไทยจะเป็นสังคมประชาธิปไตยที่ยั่งยืนได้เฉกเช่นประเทศที่เป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี