“ถอยรถไปทับคน” เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้เห็นเป็นข่าวอยู่เนืองๆ รถบรรทุกบ้าง รถบัสบ้าง ลำพังเกิดกับคนไทยก็ว่าน่าเศร้าแล้วเพราะอย่างที่ทราบกันว่าแต่ละปีคนไทยตายเพราะอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ยหลักหมื่นศพ แต่หากเกิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติยิ่งส่งกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศด้วย เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวหรือบริการนั้นเป็นภาคเศรษฐกิจหลักของไทย อย่างเมื่อ 18 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา เกิดเหตุรถบัสพานักท่องเที่ยวจีนไปทำบุญที่วัดประชุมคงคา บ้านโรงโป๊ะ ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ถอยไปทับเด็กชายชาวจีนวัย 6 ขวบ เสียชีวิต
ผู้สื่อข่าว “แนวหน้า” มีโอกาสพบกับ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ที่งานพิธีปิดโครงการอบรม Road Safety Journalism Fellowship 2018 โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และ Internews ณ รร.บลิสตัน สุวรรณ ปาร์ควิว ซอยต้นสน เพลินจิต กรุงเทพฯ เมื่อ 8 ส.ค. 2561 หรือราว 3 สัปดาห์หลังเกิดเหตุ ซึ่งคุณหมอก็ได้นำจดหมายเปิดผนึกที่ส่งไปถึงอธิบดีกรมการท่องเที่ยวมาให้อ่าน จึงขอนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้
!!!..หนังสือจาก ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เลขที่ มนป.076/2561 ลงวันที่ 25 ก.ค. 2561 เรื่อง ข้อพิจารณาเสนอแนะเพื่อเพิ่มมาตรการป้องกันอุบัติเหตุรถบัสเคลื่อนรถทับนักท่องเที่ยวเสียชีวิต เรียน อธิบดีกรมการท่องเที่ยว ... อ้างถึงกรณีเด็กชายชาวจีนอายุ 6 ปี ถูกรถทัวร์ทับจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ณ วัดประชุมคงคา บ้านโรงโป๊ะ ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อ 18 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา
ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า “ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้มาไหว้พระในวัด เด็กชายที่เสียชีวิตออกไปวิ่งเล่นไล่จับแมวอยู่บริเวณที่รถจอด ซึ่งพนักงานขับรถได้เคลื่อนรถโดยไม่ทราบว่าเด็กมุดอยู่ข้างรถทำให้ล้อหลังทับศีรษะเสียชีวิต ผลการตรวจเลือดพนักงานขับรถไม่พบปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติด”นอกจากนี้ในระดับพื้นที่ได้ประชุมวาระเร่งด่วนเพื่อเพิ่มความปลอดภัย โดยจะมีการติดกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม และเพิ่มจำนวนคนดูแลบริเวณลานจอดรถ จากเดิม 2 คนเป็น 6-8 คน เพื่อดูแลได้อย่างทั่วถึง
เนื่องจาก “รถทัวร์ขนาดใหญ่มีจุดบอด (Blind Spot) ทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง (แม้จะใช้กระจกมองข้าง)”ประกอบกับประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมากที่รองรับคณะทัวร์ที่ใช้รถทัวร์ขนาดใหญ่ ซึ่งรถบัสเหล่านี้ต้องมาจอดเรียงกันอยู่เป็นจำนวนหลายคัน ทำให้มีการเสี่ยงต่อการถอยหรือขับรถทับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็ก (แม้ในกรณีนี้จะมีผู้ดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ถึง 2 คน ก็ยังเกิดอุบัติเหตุขึ้น)
ดังนั้น “เพื่อเพิ่มมาตรการความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุลักษณะนี้” ทาง ศวปถ. และเครือข่ายนักวิชาการด้านความปลอดภัย จึงมีข้อพิจารณาประกอบการจัดทำข้อปฏิบัติสำหรับหน่วยงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยนักท่องเที่ยว อาทิ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ดังนี้
1.รถบัสที่ให้บริการนักท่องเที่ยว ในการจอดรถบริเวณแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ควรมีข้อกำหนดและขั้นตอนปฏิบัติก่อนเคลื่อนรถ ได้แก่ 1.1 กำหนดให้มีผู้ช่วยให้สัญญาณการถอยเข้าออกของรถ เช่น ผู้ช่วยประจำรถหรือเจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำ ณ สถานที่เหล่านั้น 1.2 กรณีไม่มีผู้ช่วยคอยดูแลให้สัญญาณถอยหลังหรือเดินหน้า พนักงานขับรถต้องลงมาตรวจสอบให้มั่นใจว่าปลอดภัยก่อนเคลื่อนรถ และ1.3 พิจารณาติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น เซ็นเซอร์เตือนขณะถอยรถ กล้องมองหลัง เป็นต้น
2.พนักงานขับรถบัสขนาดใหญ่ ควรกำหนดให้ผ่านการอบรมขับขี่และดูแลด้านความปลอดภัยผู้โดยสาร พร้อมทั้งมีขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจนในเรื่องการระมัดระวังและตรวจสอบบริเวณรอบรถก่อนเคลื่อนรถ (ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง) เนื่องจากรถใหญ่มีจุดบอด (Blind Spot) หลายจุด 3.สมาคมท่องเที่ยวและบริษัทนำเที่ยว มีขั้นตอนปฏิบัติให้“ไกด์ทัวร์” มีหน้าที่แนะนำและเตือนลูกทัวร์เรื่องความปลอดภัย กรณีนักท่องเที่ยวที่มีเด็กเล็กมาด้วย ผู้ปกครองต้องสอดส่องดูแลไม่ให้คลาดสายตา โดยเฉพาะการขึ้น-ลงหรือเข้าใกล้รถบัสโดยสาร
4.เจ้าของแหล่งท่องเที่ยว ที่ต้องรับคณะทัวร์อยู่เป็นประจำ ควรจัดให้มีพื้นที่จอดรถบัสขนาดใหญ่อย่างเป็นสัดส่วน มีจุดกลับรถที่ห้ามคนเดินผ่าน กำหนดจุดขึ้นและลงรถอย่างชัดเจน รวมทั้งจัดให้มีเจ้าหน้าที่ประจำจุดจอดเพื่อดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก นอกจากนี้ควรพิจารณาติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงและประเมินเมื่อเกิดเหตุ
และ 5.กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับ กรมการท่องเที่ยว ควรจัดให้มีทีมสืบสวนสาเหตุเชิงลึก (กรณีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตจากการเดินทาง) เพื่อนำมาวิเคราะห์และหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ รวมทั้งรวบรวมเป็นสถิติข้อมูลประกอบการวางแผนพัฒนาระบบความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต่อไป
ท้ายนี้ ศวปถ. ใคร่ขอให้กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวและสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว พิจารณาเพิ่มมาตรการให้ผู้ประกอบการ พนักงาน
ขับรถ ผู้ช่วยพนักงานขับรถ บริษัทนำเที่ยวและไกด์ทัวร์ ผู้ดูแลความปลอดภัยสถานที่ท่องเที่ยว ได้พิจารณาจัดทำมาตรการ ขั้นตอนปฏิบัติและขั้นตอนกำกับติดตาม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุการเคลื่อนรถทับนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งขอความอนุเคราะห์ทราบผลการดำเนินงานในประเด็นที่เรียนนำเสนอ สำหรับประกอบการพิจารณาติดตามผลในระยะต่อไป..!!!
เมื่อสิ้นปี 2560 ประเทศไทยเพิ่งฉลองจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศคนที่ 35 ล้าน ขณะเดียวกันช่วงกลางปี 2561 ชื่อเสียงของประเทศไทยก็ดังไกลระดับโลกจากปฏิบัติการช่วยชีวิตทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี เชื่อว่าหลังจากนี้จะต้องมีนักท่องเที่ยวเข้ามายังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในไทยจำนวนมากอย่างแน่นอน
การมีมาตรการให้นักท่องเที่ยวมั่นใจในความปลอดภัย..นอกจากอาชญากรรมแล้วอุบัติเหตุก็สำคัญไม่แพ้กัน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี