ถึงตอนสุดท้ายครับกับ บทความซีร่ีส์ 6 ตอน “ย้อนอดีตวิกฤติต้มยำกุ้ง กับ บรรยง พงษ์พานิช”
วิกฤติเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ ใช้เวลาตั้งแต่การเริ่มบ่มเพาะฟองสบู่ ในปี 2534 กระทั่งถึงจุดวินาศในปี 2540 และใช้เวลาแก้ไข ทั้งฟื้นฟู อีกร่วม 5 ปี จนถึงปี 2545 ซึ่งคุณบรรยงบอกว่า ช่วงนี้เองที่ท่านถือว่า “เหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ”
สาเหตุที่เรียกว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2545 ก็เพราะระบบการเงินเริ่มทำงานได้ดี ธนาคารเริ่มขยายการปล่อยสินเชื่อ หลังจากที่หดตัวเข้ากระดองมานาน รวมระยะเวลา 12 ปี ครบรอบปีนักษัตรพอดี โดยบทความซีร่ีส์ตอนนี้ได้สรุป ปรับคำพูดและวิธีอธิบายที่คุณบรรยงได้กรุณาเรียบเรียงร้อยเรื่องราวความทรงจำเท่าที่มีมาเล่าให้ฟังกัน ตอนแรกก็ไล่ตั้งแต่ต้นกรกฎาคม ครบรอบต้มยำกุ้ง จนถึงกลางสิงหานี้
มีคนถามว่าคุณบรรยงรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร ท่านตอบว่า เพราะเป็นคนมีสันดาน “เสือกอ่าน เสือกฟัง เสือกรู้ เสือกเห็น” มาแต่ไหนแต่ไร (อันนี้เป็นคำเขียนโดยตรงของท่านเองนะครับ ขออนุญาตไม่เซ็นเซอร์เพื่ออรรถรส) เสร็จแล้วก็ยัง “เสือกคิด เสือกจำ” เลยเอามา “เสือกเขียน” โดยที่ไม่มีใครขอ ใครสั่ง แถมตังค์ก็ไม่ได้ แต่ก็ขอเตือนอีกนะครับว่าถึงจะรู้เยอะฅแค่ไหน ก็คงรู้ไม่ครบ ไม่หมด โปรดใช้วิจารณญาณให้มากก่อนที่จะเชื่อ โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นความเห็น เป็นดุลพินิจ
ช่วงที่เกิดวิกฤติหลายคนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เจ้าของกิจการจำนวนมาก ลำบากแทบเลือดตากระเด็น โดยเฉพาะ SMEs ผู้บริหาร พนักงาน รวมไปถึงแรงงาน ตกงานนับล้านคน จนทุกอย่างดูมืดมน บ้างก็กลับมายืนได้อีก บ้างก็ไม่สามารถกลับมาที่เดิมได้อีกเลย
แม้แต่คนที่เคยดีเคยแข็งแรง ไม่ได้รับผลกระทบตอนเกิดวิกฤติ แต่กลับได้รับผลกระทบเพราะกระบวนการแก้ไขก็มี
ขอยกตัวอย่าง คุณบรรยง ยกตัวอย่างเพื่อนเป็นนักธุรกิจที่ดี ลงทุน 400 ล้านอย่างระมัดระวัง กู้เงินบาทจากสถาบันการเงินที่ดี ขณะที่คู่แข่งซึ่งประกอบกิจการเหมือนกัน ขนาดเท่ากันทุกอย่าง แต่สุรุ่ยสุร่าย ลงทุนปาเข้าไป 800 ล้านบาท เพราะยักยอกไปซื้อ Ferrari บ้าง ไปยัดเงินผู้บริหารบ้าง กู้เงินดอลลาร์ผ่านบริษัทการเงินพอเกิดวิกฤติ ตอนแรกคู่แข่งเจ๊ง หยุดชะงัก เพื่อนก็ดูเหมือนดี แต่สักพักคู่แข่งไปซื้อหนี้กลับมาได้แค่ 200 ล้านผ่านกระบวนการปรส. เหลือต้นทุนแค่ครึ่งเดียว ตีกลับจนเพื่อนยับ รู้ยังครับ ว่าทำไมเค้าถึงห้ามลูกหนี้เข้าซื้อหนี้ตัวเอง เพราะมันเป็น moral hazard ขั้นร้ายแรง แต่อย่างว่า จะให้คนอื่นซื้อก็ไม่มีใครกล้า เพราะมีการวางกับดักไว้เยอะ มาตรฐาน CG ธรรมาภิบาลที่ต่ำ ทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นหลายเท่า (เราถึงแก้อย่างประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้)
อีกตัวอย่างหนึ่ง Conglomerate ไทยขนาดใหญ่มาก (ติดอันดับต้นๆ ของ Forbes Thailand) มีหนี้หลายสิบแห่ง พอเกิดวิกฤติถึงจะซวนเซ แต่ไม่ถึงกับแย่ แต่พอมีโอกาสที่จะไล่ซื้อหนี้ส่วนที่ติดกับปรส.ได้ ในราคาต่ำกว่าครึ่ง ก็เลยต้องกั๊กเงินสดทุกบาทไว้ซื้อหนี้ เลยเป็น NPL กับทุกสบง.ที่ดีที่ไม่ถูกปิด (จนเกือบทำให้ถูกปิดไปด้วย)
ถามว่าท่านผิดไหมที่เป็น strategic NPL อย่างนี้ ตอบว่า ถ้าระบบ กระบวนการ กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ ก็ต้องทำ ไม่งั้นก็ไม่รับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น
เห็นไหมครับ การมีสถาบันที่ดี CG ธรรมาภิบางที่ดี กฎหมายที่ดี มีความสำคัญเพียงใด แต่นี่เราไม่มีสักอย่าง จะออกกฎหมายก็ถูกต่อต้านว่าขายชาติ แต่ปัญหาความหายนะก็อยู่ตรงหน้า
ทิ้งไว้ก็ลงเหว
จะแก้อย่างไรก็ไม่มีทางสมบูรณ์แบบ วันข้างหน้าก็ต้องมีคนมาด่ามาขุดคุ้ย ถึงความไม่สมบูรณ์ต่างๆ ส่วนเรื่องดีๆ เรื่องประโยชน์สังคมมักลืมไปหมด
ยิ่งสังคมนี้มีกลุ่มคนที่ “เอาแต่ด่า” หาแต่ช่องที่จะติ จะว่าคนอื่นตลอดเวลา ไม่ยอมเข้าใจเงื่อนไขข้อจำกัด เอาแต่เรียกร้องโลกในอุดมคติที่ไม่มีอยู่จริง ด่าแต่มักไม่มีข้อแนะนำข้อเสนอเสียด้วยซ้ำ ทำอย่างกับว่าหาช่องด่าคนได้แล้วเราจะรุ่งเรืองซะอย่างนั้น
คนดีที่รู้แกวเขาก็ไม่อาสา ไม่ยอมมาทำงานแก้ปัญหา มีแต่พวกอยากได้ประโยชน์กรูเข้ามา ขอสารภาพว่า ได้รับการทาบทามให้ไปช่วยทำโน่น ทำนี่ อยู่หลายครั้ง แต่หลังจากคิดหนัก ก็กลับไป
ปฏิเสธทุกครั้ง ด้วยเหตุผลตรงไปตรงมาว่า “ผมมีความเสียสละไม่พอ”
อย่างการแก้ปัญหาปรส.ถ้าจะให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็วโดยไม่มีช่องว่างรอยโหว่ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เอาพ่อของ Bill Gates มาร่วมกับพ่อของ Jack Welch ยังทำไม่ได้เลย คุณบรรยงท่านเปรียบเทียบไว้ขนาดนี้
สุดท้ายก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีมานั่งสู้คดีที่ไม่เห็นจะมีมูลเกี่ยวกับท่านเลย ดังนั้นบทเรียนบทแรกที่ผมคิดว่าเราได้รับจาก “มหาวิกฤติ” ก็คือ “การไม่รู้คุณคน”
ทั้งๆ ที่ “ความกตัญญูรู้คุณ” ถูกพร่ำสอนตลอดมาว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของความเป็นไทย มีองค์กรและผู้คนมากมาย ที่เสียสละทำงานอย่างหนัก กล้าเสี่ยงภัยทางกฎหมาย ทำให้เรากลับมาตั้งตัวเดินได้อีก แต่สุดท้าย ถ้าไม่ได้รับรางวัลเป็นคดีติดตัว ก็ถูกก่นถูกประณามอย่างไม่เป็นธรรม องค์กรอย่าง IMF ที่ถูกก่อตั้งมากว่า 50 ปี มีวัตถุประสงค์และมาตรฐานการดำเนินงานอย่างชัดเจน
ก็ถูกป้ายสีแต่งเรื่องเสียอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีทางป็นไปได้ที่คนหลายพันคน หลายยุคหลายสมัยจะร่วมมือกันทำเรื่องอย่างที่ถูกป้ายสีได้ จนแม้ในหนังเขายังไม่นิยายเกินเลยขนาดนี้เลย
เรื่อง “คนดีจะไม่กล้าอาสา” นี้ ส่งผลมาถึงทุกวันนี้ อดีตนายกฯ ท่านหนึ่ง เคยปรารภว่า “เมืองไทยนี่แปลก พวกคนดีนี่เปราะ มีอะไรกระทบนิด กระทบหน่อยทนไม่ได้ ไขก๊อกตลอด ส่วนไอ้พวกคนเลวให้ทำอะไรก็ทนได้ ให้ย้ายไปดูจับกังดูแรงงานก็ไป อดทนกล้ำกลืนได้”
นี่เป็นเรื่องอันตรายมาก ถ้าคนที่มาสาบานพร่ำพูดว่าจะมารับใช้ชาติ เหลือแต่พวกที่หวัง “รับใช้ชาติ” ไม่นานชาติคงถูกใช้จนเปลี้ย เหลือแต่กระดูกแน่
ปกติ วิกฤติขนาดนี้มักจะก่อให้เกิดการปฏิรูป (reform) ใหญ่ในหลายๆ เรื่อง เช่น ระบบการเงิน ระบบกฎหมาย ไปจนถึงระบบการบริหารจัดการ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำให้ระบบดีขึ้น พร้อมที่จะเดินหน้าได้อย่างแข็งแรงขึ้น เผชิญวิกฤติอนาคตได้ดีขึ้น ทั้งนี้เพราะเวลาพัฒนามา ย่อมมีการบิดเบือน บิดเบี้ยวบ้าง
การปฏิรูปหมายถึงความเปลี่ยนแปลงที่มักจะไม่มีลักษณะ win-win (คำเพราะที่ถูกยกเพื่อไม่ต้องทำอะไรเลย หรือเมื่อต้องการเอาเปรียบ taxpayer) จะต้องมีผู้ได้รับผลกระทบบ้าง ซึ่งในเวลาปกติมักถูกต่อต้าน ทำได้ยาก เวลามีวิกฤติจะมีแรงผลักดันทำให้เกิด ก็มาตรการ IMF ทั้งหลายนั่นแหละครับ ที่มุ่งหวังให้เกิดการปฏิรูปที่ดีขึ้นในระยะยาว แต่ก็อย่างที่บอก ถูกต่อต้าน ใส่ไคล้ป้ายสี จนทำได้ไม่ครบ หรือไม่ก็บิดเบี้ยว บิดเบือนไปไม่น้อย
สรุปว่าถึงจะมีการปฏิรูปบ้างหลายด้าน ก็คิดว่าเราเสียโอกาสในการปฏิรูปไปไม่น้อย น่าเสียดายโอกาส
ความจริงเมื่อเกิดวิกฤติใหญ่ขนาดนี้ มักเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า และนำไปสู่ความโกรธแค้นของฝูงชน เกิดการจลาจลวุ่นวาย แต่ในประเทศไทย แทบไม่มีความวุ่นวายใดๆ (social unrest) เลย ม็อบที่มีก็น้อย และมักเป็นเรื่องที่มีการเมือง หรือผลประโยชน์แฝง เช่น ม็อบต่อต้านกฎหมายขายชาติที่จัดตั้งโดยกลุ่มวุฒิสภาที่กลัวว่านายทุนจะเดือดร้อน
เหตุผลที่ประเทศไทยไม่มีความวุ่นวาย และไม่จำเป็นต้อง reform ใหญ่ ก็สามารถกลับมาตั้งหลักได้ เพราะเรามีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่าง เช่น
สินค้าอุปโภค บริโภคที่สำคัญจำเป็น อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยาสำคัญส่วนใหญ่ และที่อยู่อาศัย เป็นสินค้าที่เรา ผลิตได้เองพอเพียงแทบทั้งสิ้น วิกฤติค่าเงิน ไม่ได้ทำให้เกิดการขาดแคลน หรือราคาขึ้นรุนแรงใดๆ
ลักษณะครอบครัวแบบไทย ที่ยังมีความผูกพันเกื้อหนุนกันในวงกว้าง ทำให้ช่วยกระจายแบกรับผลกระทบได้ดี การช่วยเหลือกันทำให้ไม่มีใครลำบากขนาดอดตาย แรงงานตกงานสามารถกลับชนบท และยังมีที่อยู่ อาหารสมบูรณ์
สินค้า และผลผลิต อยู่ในลักษณะกระจายตัว ไม่พึ่งพิงอุตสาหกรรมใดมากเกินไป มีการกระจายที่ดี ทั้งเกษตร และอุตสาหกรรม และส่วนใหญ่ยังเป็นสินค้าปฐมภูมิ (ประโยชน์ของความไม่เจริญ) ทำให้เผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดี
ตลาดคู่ค้าของเราก็กระจายตัวดี ไม่มีประเทศไหนมีสัดส่วนสินค้าส่งออกเกิน 20%
พอค่าเงินลด ต้นทุนของสินค้าส่งออกเราก็ลดหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นเหตุผลหลักที่เศรษฐกิจเราฟื้นตัวอย่างที่เรียกว่า export driven จากส่งออกแค่ 30% เป็นกว่า 70% ของ GDP น่าเสียดายที่เราหลงระเริงกับต้นทุนลด เลยละเลยที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จะเห็นว่า Total Factor Productivity เพิ่มน้อยมาก โดยเฉพาะธุรกิจไทย ทำให้เรากดค่าแรง และพอค่าเงินแข็งขึ้น (ยังสูงกว่าก่อนวิกฤติตั้งกว่า 20%) เราก็โวยวาย
คุณบรรยงสรุปว่า บทเรียนที่เราได้รับมีไม่มากนัก โดยเฉพาะในระดับโครงสร้างใหญ่ ในระดับไมโคร มีการเปลี่ยนแปลง โยกย้ายความมั่งคั่งบ้าง ประเทศเปิดมากขึ้น แต่คนรวย ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนกลุ่มเดิม ความเหลื่อมล้ำกลับมากขึ้น
ในด้านระบบการเงินซึ่งถูกกล่าวหาเป็นจำเลยสำคัญ ได้รับการปฏิรูปอย่างมากจนแข็งแรง มีเสถียรภาพ ธุรกิจธนาคารเข้มแข็ง และมีกำไรสูงมาก ภาคเอกชนมีฐานะการเงินแข็งแกร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าเราจะเกิดวิกฤติอีก จะไม่เป็นแบบเดิม ในระยะอันสั้นไม่น่าจะมีวิกฤติที่เกิดจากเอกชน หรือจากตลาดการเงินอีก ถ้าจะมีวิกฤติน่าจะมาจากทางสังคม การแตกแยกวุ่นวาย หรือจากการเมือง หนี้สาธารณะก็ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้
คุณบรรยงเสริมตอนจบเอาไว้ว่า ทุกอย่างจะยังคงอยู่ในระดับที่จัดการได้ เดชะบุญเพียงว่า นอกจากว่าจะมีพ.ร.บ.กู้เงิน นอกระบบงบประมาณ 2 ล้านล้าน และพ.ร.ก.กู้เงินอ้างน้ำท่วม 350,000 ล้าน รวมไปถึงการทำโครงการประชานิยมขาดทุนจำนำข้าวปีละ สองแสนล้าน ต่อเนื่องไปทุกปี ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาล่ะก็ หนาวแน่ๆ !
สรุปสั้นๆ ก็คือว่า ในสภาวการณ์ปกติวิกฤติในระดับต้มยำกุ้งยากที่จะเกิดในไทย แต่หากมีการใช้นโยบายการเงินการคลังที่เกินตัว สร้างหนี้ไม่ก่อประโยชน์ ประชานิยมจนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวละก็... ตัวใครตัวมันก็แล้วกันครับ !
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี