เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2561 อันเป็นวันสื่อสารแห่งชาติ ผมได้นั่งดู ผู้แทนหน่วยราชการ ผู้แทนบริษัท ห้างร้าน และเอกชน ทยอยกันนำพานพุ่มไปถวายต่อพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ กสทช. ร่วมกันจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ กสทช. ซอยสายลม ถนนพหลโยธิน แล้วรู้สึกประทับใจ จนน้ำตาซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัว
พระองค์ท่านได้ทรงจากพวกเราไปเป็นเวลาถึง 108 ปีแล้ว แต่ความดีที่พระองค์ทรงทำต่อปวงชนชาวไทย ยังเปี่ยมอยู่ในหัวใจคนไทยจนกระทั่งบัดนี้ ถึงแม้แต่ก่อนแม้เราจะอยู่ในสมัยราชาธิปไตย ซึ่งอำนาจสูงสุดอยู่กับพระราชา พระองค์จะทรงเสวยสุขอย่างใดก็ได้ แต่พระองค์กลับทรงห่วงใยอยู่กับการสร้างชาติ สร้างประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า เท่าเทียมอารยประเทศ
ให้คนไทยได้อยู่ดีกินดี มีการศึกษา ฯลฯ นานัปการ ซึ่งถ้าหากลองแยกมาตามอำนาจอธิปไตย ก็จะเห็นได้ดังนี้
1.ในด้านการบริหารประเทศ (หรือการใช้อำนาจบริหาร)
พระองค์ก็ได้ทรงแต่งตั้งเสนาบดีกระทรวงต่างๆ ขึ้นมารับผิดชอบการบริหาร และได้ทรงริเริ่มงานสำคัญๆ ที่ทำให้สยามประเทศเจริญมาจนบัดนี้มากมาย เช่น งานโทรคมนาคม (โทรเลข เมื่อปี พ.ศ.2418, งานโทรศัพท์ เมื่อปี พ.ศ.2424 แล้วรวมกับงานไปรษณีย์เมื่อปี พ.ศ.2424 มาเป็นกรมไปรษณีย์โทรเลข เมื่อปี พ.ศ.2426)
ได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ที่ริมคลองบางกอกน้อย เมื่อปี พ.ศ.2431 ซึ่งต่อมาได้พระราชทานนามว่า โรงพยาบาลศิริราช
พระองค์ทรงวางรากฐานการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และทรงพระราชดำเนินขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อสร้างทางรถไฟ เมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ.2434
(เป็นที่น่าเสียดายว่า จาก พ.ศ.2434 จนถึง พ.ศ.2475 เป็นเวลาเพียง 41 ปี ระบอบราชาธิปไตยได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟจรดเหนือ จรดใต้ จรดอีสานแล้ว รวมแล้วยาว 3,600 กิโลเมตร
แต่เมื่อเรามาใช้ประชาธิปไตยระบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) จาก พ.ศ.2475 จนถึง พ.ศ.2557 รวม 82 ปี ผู้รับผิดชอบในอำนาจบริหารของประเทศ รวม 61 คณะ ได้ขยายทางรถไฟเพิ่มได้เพียง 370 กิโลเมตร ท่านผู้อ่านควรจะอุทานว่าอย่างไรดี)
นอกจากนั้น ยังได้ทรงเริ่มกิจการไฟฟ้าขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2433 และกิจการอื่นอีกมากมาย อาทิ ทรงให้ผลิตธนบัตร รุ่นแรกออกมาใช้ 5 ชนิด ในปี พ.ศ.2441 และยกเลิกเงินพดด้วงเมื่อปี พ.ศ.2451
ในด้านความมั่นคง ได้ทรงสถาปนาโรงเรียนนายร้อยจุลจอมเกล้าขึ้น ซึ่งผลิตนักเรียนด้านความมั่นคง มาเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติตราบจนปัจจุบัน
ในด้านการศึกษา ก็ทรงจัดให้มีการศึกษารูปแบบใหม่ขึ้น โดยตั้งโรงเรียนขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาโดยทั่วกัน โรงเรียนหลวงแห่งแรกสร้างขึ้นในวัด คือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
ในด้านการต่างประเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจบริหาร ก็ได้ทำให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับโดยประเทศต่างๆ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยือนต่างประเทศหลายครั้ง โดยเฉพาะยุโรปถึง 2 ครั้ง เพื่อทรงสร้าง “ดุลแห่งอำนาจ” แก่ประเทศไทย เนื่องจากขณะนั้นอยู่ในยุคล่าอาณานิคม และโดยพระปรีชาสามารถ ก็สามารถรักษาประเทศไทย ให้อยู่รอดเป็นอิสรภาพ ได้ตลอดจนมาทุกวันนี้
รวมเวลาในการครองราชย์และดูแลฝ่ายบริหารอยู่ได้ 42 ปี แต่ได้สร้างสรรค์ความเจริญ และความมั่นคงให้แก่ประเทศไทยอย่างล้นพ้น
จึงไม่น่าจะเป็นที่น่าประหลาดใจ ที่หลังจากเสด็จสวรรคตแล้วถึง 108 ปี เมื่อถึงวันสื่อสารแห่งชาติ ก็ยังมีกระทรวง ทบวง กรม, รัฐวิสาหกิจ, บริษัทเอกชน และเอกชนนับร้อยรายไปถวายพานพุ่มแด่พระองค์ท่าน เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม นี้
2.ในด้านตุลาการ และด้านนิติบัญญัติ
ทรงโปรดเกล้าฯ สร้างประมวลกฎหมายอาญาขึ้นใหม่ให้ทัดเทียมอารยประเทศ ทรงโปรดเกล้าให้จัดตั้งโรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย ในปี พ.ศ.2440 และตั้งกรรมการพิจารณาทำประมวลกฎหมายอาญาแผ่นดิน ประมวลกฎหมายเกี่ยวกับการพาณิชย์ ประมวลกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาความแพ่ง และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เมื่อ พ.ศ.2417 และทรงตั้งสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (Prime Council) ในปีเดียวกัน
สรุปแล้วพระองค์ทรงเป็นนักสร้างชาติชั้นเยี่ยม ชั่วเวลาเพียง 42 ปี ที่ครองราชย์ ก็สามารถทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปอย่างมากมาย และสามารถรักษาอิสรภาพของประเทศไทยไว้ได้ นับว่าพระองค์ทรงมีอุดมการณ์ (Ideology) ที่แนวแน่ ที่จะใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสาม (อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ) อย่างถูกต้องทำนองคลองธรรม ไม่เห็นแก่ความสุขและประโยชน์ส่วนพระองค์ ทั้งๆ ที่สามารถจะทำได้เนื่องจากยังอยู่ในระบบราชาธิปไตย
ดังนั้น เมื่อขณะนี้ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (โดยเฉพาะแบบ Parliamentarian Democracy) ผู้ที่จะเข้ามาในวงการสร้างชาติ อันเป็นเรื่องอุดมการณ์ และความเสียสละ เข้ามาใช้อำนาจต่างๆ แทนปวงชนชาวไทยโดยการเข้าสู่อำนาจทั้งสาม อันได้แก่
- อำนาจบริหาร (ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ เจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นๆ)
- อำนาจนิติบัญญัติ (สมาชิกรัฐสภา)
- อำนาจตุลาการ (ตุลาการ และผู้มีอำนาจหน้าที่ในการให้ความยุติธรรม)
ก็น่าที่จะต้องดำเนินตามรอยพระยุคลบาท ในการสร้างชาติ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ให้มีความดี มีคุณสมบัติในแบบอย่างเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีสี่ท่านที่กล่าวถึงในสัปดาห์ที่แล้ว (พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา, นายควง อภัยวงศ์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) ก็ยังดี
ส่วนผู้ที่ใคร่เข้ามาในวงการเมืองซึ่งเป็นเรื่องของการสร้างชาติ ด้วยวัตถุประสงค์อื่น เช่น เพื่อทำธุรกิจการเมือง เพื่อความร่ำรวยของตนเอง และครอบครัว เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ ก็ควรถอยออกไปเสีย ไปหาอาชีพอื่น โดยการพิจารณาตัวท่านให้ดีก่อนก้าวเข้าสู่อำนาจทั้งสาม ที่ประชาชน และ electoral body ตามระบอบประชาธิปไตยมอบให้แก่ท่าน ไม่ว่าจะโดยการเลือกตั้ง หรือโดยการสมัครสอบเข้าทำงานของรัฐก็ตาม
ในขณะเดียวกัน ประชาชน และ electoral body ก็ควรจะพิเคราะห์พิจารณาให้ดี ว่าพรรคไหน คนไหน มีอุดมการณ์ที่ดีหรือไม่ ปฏิบัติไปตามนั้นหรือเปล่า มีพื้นฐานการศึกษาแข็งแกร่งพอจะนำพาประเทศไทย และคนไทยให้เป็นอารยประเทศได้หรือไม่ เป็นคนและพรรคที่มีคุณธรรม จริยธรรม ที่เหมาะสมหรือไม่ ที่ท่านจะสนับสนุนให้มาใช้อำนาจอธิปไตยแทนตัวท่าน ในการเลือกตั้งคราวหน้า
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี