ในรายการ “ต้องถาม” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องฟ้าวันใหม่ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้สนทนากับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในประเด็นที่น่าสนใจมาก และถูกนำมาเขียนข่าวตลอดจนวิจารณ์กันในเวลาต่อมาว่าด้วยเรื่อง “3 ก๊ก”
ผมคิดว่า การอ่านแต่ตัวหนังสือที่สำนักข่าวทุกสำนักข่าวไม่ได้อ้างอิงให้รู้ว่ามาจากรายการนี้ อาจทำให้การทำความเข้าใจต่อ “แนวคิด” ของนายอภิสิทธิ์คลาดเคลื่อนได้ ดีที่สุดคือ เข้าไปในยูทูบ
แล้วพิมพ์คำว่า “BigPicture ต้องถาม 06 08 61 เบรก 2”
ประเด็นมันเริ่มจากการถามของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ว่า “คุณอภิสิทธิ์ครับ เดิมผมเคยวิเคราะห์การเมืองไทยว่า มันกลายเป็นประชาธิปัตย์ กับนอนประชาธิปัตย์ (ไม่ร่วมกับประชาธิปัตย์) เพราะผมฟังผู้หลักผู้ใหญ่ในฝ่ายที่เขาจะจัดตั้งรัฐบาลเขาบอกว่า ถ้าพวกเราไม่มารวมกันเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ประชาธิปัตย์มันก็เป็นรัฐบาลตลอดชาติเพราะฉะนั้นก็เลยรวมกันอยู่ที่ฝ่ายหนึ่ง แต่เที่ยวนี้ผมสังเกตดูว่าจะกลายเป็นว่า มีระบอบทักษิณ อาจจะสักสองสามพรรค แต่ที่เหลือจะรวมกันไม่เอาระบอบทักษิณ คุณอภิสิทธิ์คิดว่า ความคิดอันนี้เลอะเทอะไปไหมครับ”
นายอภิสิทธิ์จึงตอบว่า “คงไม่เลอะเทอะหรอกครับ ผมมองว่าคนจำนวนไม่น้อยในสังคมก็มองเรื่องนี้อยู่ คือ มีความกังวลกับปัญหาของระบอบทักษิณ ก็จะมองในมุมว่าระบอบทักษิณจะกลับมาไหม พรรคการเมืองไหนบ้างเป็นแนวร่วม แต่ถามว่ามันเป็นแนวทางเดียวที่คนมองไหม ผมว่าไม่ใช่ ขณะนี้อีกส่วนหนึ่งก็พูดว่า เอา คสช. กับไม่เอา คสช. เหมือนกัน ในมุมที่ว่า คสช.นั้น หลังจากเข้ามายึดอำนาจ ตอนแรกเหมือนกับจะมาเป็นกรรมการ แต่ตอนหลังก็แสดงตัวค่อนข้างชัดว่าจะเป็นผู้เล่นด้วย จึงเกิดกระแสว่าจะยอมรับแนวทางของ คสช.ที่จะสืบทอดอำนาจหรือไม่ ส่วนประชาธิปัตย์หรือไม่ประชาธิปัตย์เป็นเรื่องตัวเลขมากกว่า ในการจะเอาชนะกัน
จากนั้นนายอภิสิทธิ์จึงได้แสดงมุมมองว่า การเมืองในขณะนี้ เข้าลักษณะที่เรียกว่า “3 ก๊ก” มากกว่า โดยจำแนกเป็น
1.พรรคการเมืองที่อิงอยู่กับตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือมีแนวทางคล้ายคลึงกับนายทักษิณ หรือเคยร่วมเคลื่อนไหวกับระบอบทักษิณ
2.พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อ หรือแสดงท่าที่ว่า จะสนับสนุนผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯ หรือผู้มีอำนาจใน คสช. เช่น พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่หัวหน้าพรรคไม่ได้แสดงทีท่าชัดนัก แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร ถูกจับโยงเข้ากับพรรคนี้ และเสมือนเป็นการปูทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ หรือพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่แม้ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ยังไม่ได้พูดให้ชัดว่าจะหนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ แต่ก็บอกชัดว่าจะร่วมรัฐบาลแน่
3.พรรคประชาธิปัตย์
ผมสนใจในส่วนที่นายอภิสิทธิ์นำเสนอส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า 2 แนวทางแรก ซึ่งมันชัดอยู่แล้ว ว่าฝ่ายทักษิณ ฝ่ายลุงตู่ แต่ “ประชาธิปัตย์” นี่ล่ะ จะอยู่ฝ่ายไหน ซึ่งเป็นวิธีคิดและจัดกลุ่มที่ฉาบฉวยมาก ดีที่นายอภิสิทธิ์ใช้เวลา “ชี้แจง” จนชัด เพียงแต่การเรียบเรียงที่ผ่านมาของสื่อ อาจไม่ครบถ้วนตามที่นายอภิสิทธิ์พูด
แล้วนายอภิสิทธิ์พูดว่าอะไรล่ะ เขาพูดว่า “ผมก็จะยืนยันว่า ในส่วนของประชาธิปัตย์นั้น เราจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง คำว่าทางเลือกอีกทางหนึ่งก็คือว่า แน่นอน เราต่อสู้กับระบอบทักษิณมาตลอด และสิ่งที่เราเคยต่อสู้มาในองค์ประกอบของความเป็นระบอบทักษิณนั้น เราก็ยังคงยืนยันที่จะต่อสู้อยู่ ขณะเดียวกัน เราก็มองว่าแนวทางของ คสช. หรือรัฐบาลปัจจุบันนี้ หลายอย่างก็ไม่สอดคล้องกับแนวคิดเรา”
โดยเฉพาะแนวคิดเบื้องหลังการบริหารของรัฐบาลปัจจุบัน ที่เน้นการรวมศูนย์ และเน้นแนวคิดแบบราชการเป็นตัวกำหนดนโยบาย แต่ประชาธิปัตย์เสนอแนวทางที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ต่างจากทั้งพรรคเพื่อไทยและ คสช. ส่วนหลังเลือกตั้งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน ถึงแม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคนมองว่า
ไม่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
“การตัดสินใจของประชาชนมีความหมาย เมื่อประชาชนได้มีโอกาสรับทราบแนวทางที่แตกต่างกัน สมมุติเอาหยาบๆ รัฐราชการกลุ่มหนึ่ง ระบบทักษิณ ประชานิยมกลุ่มหนึ่ง กับประชาธิปัตย์เสรีประชาธิปไตยอีกกลุ่มหนึ่ง ผลการเลือกตั้งออกมา ก็จะรู้ว่าประชาชนสนับสนุนแนวทางไหนเท่าไหร่ ตรงนั้นถ้ามีความเด็ดขาดก็จบ ถ้ามีความไม่เด็ดขาดก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมาเจรจาว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลระหว่างใครกับใคร สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า จะยึดแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศเป็นหลัก”
เมื่อถามว่า ถ้านโยบายไปด้วยกันได้แสดงว่าก็ร่วมงานกันได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่เห็นประโยชน์ของการที่พรรคประชาธิปัตย์จะไปเป็นรัฐบาลกับใคร หากแนวทางที่พรรคนำเสนอต่อประชาชนไม่ได้รับการปฏิบัติ หรือนำไปใช้ ตนว่าประชาธิปัตย์ก็ควรจะเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่อยากเป็น แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างการไปเป็นรัฐบาล แล้วบ้านเมืองไม่ได้ไปในแนวทางที่อยากให้เป็น นั่นไม่ใช่อุดมการณ์ของพรรค ทั้งนี้ขณะนี้อย่าไปวิตกกังวลว่าจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะเราไม่ทราบตัวเลข เมื่อทราบตัวเลขค่อยมาดูอีกทีว่ามีวิธีการแก้ปัญหาที่ไปทางไหนไม่ได้อย่างไร
“สิ่งหนึ่งที่ผมยืนยัน คือ ประชาธิปัตย์ต้องการที่จะให้การเมืองเป็นเรื่องของอุดมการณ์ เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาของประเทศแบบระยะยาว ยั่งยืน ถ้าทุกพรรคคิดแต่เพียงว่าต้องไปเป็นรัฐบาล ผมคิดว่าก็ทำให้การเมืองกลับไปเรื่องของผลประโยชน์ เรื่องของอำนาจ โดยเฉพาะการไปเป็นรัฐบาลไม่ต้องคำนึงเลยว่านโยบายจะเป็นอย่างไร ขอให้ฉันมีตำแหน่ง ผมว่าเราควรมาช่วยกันทำให้การเมืองหลุดพ้นจากตรงนั้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณระบุว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนถล่มทลายเหมือนหิมะถล่มว่า พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในสถานะของพรรคที่มีความได้เปรียบ เพราะมีฐานะเสียงค่อนข้างที่แน่นในพื้นที่ซึ่งใหญ่ที่สุด คือ ภาคเหนือ ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้เกิดความรู้สึกว่าพอเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมาโดยการรัฐประหารก็ทำให้เศรษฐกิจแย่ลง และเรื่องความพร้อมทั้งเงินทองมีอยู่แล้ว ฉะนั้น นายทักษิณก็มีสิทธิ์ที่จะคิด มีสิทธิ์ที่จะคุย และอยากจะคุย แต่ตนก็ไม่แน่ใจว่าประชาชนพร้อมที่จะเสี่ยงกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะพรรคเพื่อไทยยังไม่หลุดพ้นจากปัญหาเดิมๆ บ้านเมืองก็จะกลับมาอยู่ในภาวะที่เป็นแบบนี้อีก ในทางกลับกันจะเห็นว่ามีหลายพรรคที่แสดงตัวชัดว่าจะเป็นรัฐบาล ก็แสดงให้เห็นว่ามีพรรคการเมืองจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่าจะชนะ จะได้อำนาจ จะเป็นรัฐบาล จะสามารถดึงให้นักการเมืองคนอื่นไปร่วมกับตัวเองได้ เพราะมีความหวังว่าจะมีตำแหน่ง
“สำหรับประชาธิปัตย์ตอนนี้ อยากจะให้คนที่จะอยู่กับพรรค คิดเรื่องทิศทางประเทศ ให้ตกผลึกร่วมกัน ว่า เราจะพาประเทศไปทางไหน หากได้เป็นรัฐบาล และเราก็หวังว่าจะเป็นรัฐบาลและจะสู้เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าแนวทางนี้ประชาชนไม่สนับสนุน เราทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่เราพึงจะยอมรับ ผมอยากให้เราเป็นแบบอย่างของพรรคการเมืองว่าการเมืองต้องไปแบบนี้ นายทักษิณ
ก็พยายามจะบอกว่า ฉันมีคะแนนเยอะ ฉันต้องได้เป็นรัฐบาล ดังนั้นอย่าไปไหน ส่วนอีกฝ่ายก็บอกว่าได้เป็นรัฐบาลแน่ มาอยู่กับเราเถอะ ผมจึงบอกว่าดูก็แล้วกัน มันจะกลับมาเป็นประชาธิปัตย์กับไม่เอาประชาธิปัตย์หรือไม่ เพราะประชาธิปัตย์ไม่เอาเกมนั้น ดังนั้นขอให้ประชาชนดูเอาว่าถ้านักการเมืองจะไปมีอำนาจต้องคิดให้ดี ไม่พูดถึงแนวทาง ไม่พูดถึงอุดมการณ์มันน่ากลัว” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เอาล่ะ เรามาสรุปกันอีกครั้งว่า การสนทนานี้ของนายอภิสิทธิ์กับ ดร.เจิมศักดิ์ ทำให้เรา “ต้องมอง” และ “ฉุกคิด” เรื่องอะไรบ้าง
1) ชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่นักการเมืองที่จ้องแต่จะ “เล่นการเมือง” แต่เป็นนักการเมืองที่มีสำนึกของความเป็น “ผู้แทนราษฎร” ชัดเจนมาก จึงไม่หมกมุ่นกับการหาสูตรที่จะนำไปสู่“ชัยชนะในการเลือกตั้ง” อย่างเดียว แต่มุ่งรักษาหลักการ อุดมการณ์และพยายามนำพรรคที่ตนได้รับความไว้วางใจมอบหมายให้เป็นหัวหน้าพรรค ไปเป็น “ทางเลือก” ของประชาชน
2) นายอภิสิทธิ์แสดงความไม่ยึดติดกับอำนาจ ด้วยการกล้าประกาศว่า หากประชาชนเลือกพรรคเขาไม่มากพอ ก็ยินดีจะเป็นฝ่ายค้าน
3) จึงเป็นความท้าทายว่า นายอภิสิทธิ์จะ “จูน” ความเข้าใจและความต้องการของลูกพรรคให้มุ่งไปในทางเดียวกันนี้ และสื่อสารจุดยืนนี้ออกมาได้อย่างพร้อมเพรียงกันแค่ไหน
4) จุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ที่คนนอกมอง คือ ความเป็นเสรีชน ที่ขาดความพร้อมเพรียง สร้างภาพจำทางลบ ยิ่งถูกฝ่ายตรงข้ามขยี้และสร้างวาทกรรมเข้าครอบ ยิ่งดูแย่ ทั้งๆ ที่หลายอย่าง
ไม่แย่และไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ภาพจำเหล่านั้นกลับฝังอยู่ในความรู้สึกของคนอย่างหนักหน่วง
5) เมื่อประชาธิปัตย์โดยนายอภิสิทธิ์กล้าเสนอแนวทางที่จะเป็น “ทางเลือกที่สาม” เช่นนี้ ทั้งพรรคต้องพร้อมเพรียงกันทำภาพนี้ให้ชัด ทำให้คนเชื่อและสนใจได้ว่า ทางเลือกนี้สำคัญและสวยงามจริงๆ คือ ไม่ยึดเอาชัยชนะทางการเมืองเป็นที่หมาย โดยไม่สนใจหลักการวิธีการเลย แต่จะเอาปัญหาของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง และมุ่งแก้ปัญหานั้น ด้วยการสร้างนโยบายที่ดีขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้เลือก ผู้สนับสนุน ว่าอยากได้นโยบายนี้ อยากไปในทางนี้เช่นกัน
6) ประชาธิปัตย์ต้อง “สลายภาพจำ” ที่คนจำแต่ภาพของ “นักโต้วาที” ที่โต้กับคนนั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลาและทุกเรื่องไป ถามว่าจริงๆ ดีไหม ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก หากฟังสิ่งที่โต้นั้นว่ามีเหตุผลหรือไม่ แต่บรรยากาศที่คนเบื่อการทะเลาะเบาะแว้ง และไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียด จำเป็นที่จะต้องเพลาการตอบโต้ต้องลง แต่นำเสนอ “ความหวัง” เข้าทดแทน แม้อาจต้องสู้กับความเท็จและการบิดเบือนใส่ร้ายอยู่บ้าง ก็ต้องสู้อย่างสุขุม อย่าให้มันโดดเด่นกว่าการสู้กับปัญหาที่ประชาชนแบกรับอยู่
7) ชัดเจนอยู่แล้วว่า คสช. มีฝ่ายที่ ไม่เอา คสช. ไม่เอาเผด็จการทหาร ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ ขณะที่ฝ่ายไม่เอาทักษิณก็ชัดแสนชัด ประชาธิปัตย์เวลานี้โชคดีกว่า ทีเสมือนไม่มีฝ่ายที่ไม่เอาชัดเจนนัก เหลือก็แต่คนที่ “ไม่เชื่อ ไม่แน่ใจ” ว่า “ทำงานเป็นไหม” หรือแค่ “ดีแต่พูด”
8) จึงเป็นช่วงเวลาที่ประชาธิปัตย์ต้องสำแดงสิ่งที่ตนทำมาอย่างเป็นระบบให้สังคมได้ทบทวนใหม่ สำคัญคือสุดคือสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูด นั่นคือ การเมืองที่ไม่มีอุดมการณ์เลย เป็นเรื่องน่ากลัว ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดอุดมการณ์มาตลอด จนบางคนมองว่าเป็นพรรค “เจ้าหลักการ” แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์บ้านเมืองมาอย่างมากมาย เหตุการณ์ทั้งหลายต่างก็ช่วยตอกย้ำว่า จริงๆ บ้านเมืองต้องมีอุดมการณ์ จะเอาแต่ชัยชนะ พวก-ข้าง และผลประโยชน์อย่างเดียวไม่ได้
9) จุดแข็งอย่างหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่เคยเอามาทำให้เป็นจุดแข็งเลย คือ เป็นพรรคที่อุดมไปด้วยคนที่มีความรู้ที่หลากหลาย คนรุ่นหนึ่งมีประสบการณ์มาก คนรุ่นหนึ่งมีไฟแรงมาก นายอภิสิทธิ์เป็นรุ่นที่อยู่ตรงกลาง ระหว่างคนรุ่นใหม่มีใจ มีไฟ กับคนรุ่นใหญ่ที่มีประสบการณ์ ต้องนำเสนอภาพที่แท้จริงนี้ของประชาธิปัตย์ให้สังคมเกิด “ความหวัง” และไม่โดดไปเล่นในเกมบ้าๆ บอๆ เรื่อง “คนรุ่นใหม่” เท่านั้นที่เป็นคำตอบ เพราะบ้านเมืองมีคำตอบอยู่ในคนทุกรุ่น ไม่ต้องแบ่งแยกเพื่อหาคะแนนนิยม ที่ผลักคนออกจากกัน นำมาสู่การเผชิญหน้าและแปลกหน้าต่อกัน แบบที่พรรคอนาคตใหม่ทำอยู่
10) ต้องเชื่อพร้อมๆ กับทำให้คนเชื่อว่า หมดยุค “วัน แมน โชว์” แต่ต้องทำงานในลักษณะ “ทีม ไทยแลนด์” คือ “จัดทัพสู้กับปัญหา” ปัญหาของเกษตรกร ปัญหาของแรงงาน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพที่สังคมสูงวัยกำลังจะมาถึง ฯลฯ
ขณะที่ทีมสามมิตรกำลังขับรถดูดส้วมตระเวนไปทั่ว เพื่อสะสมบุคลากรในเชิง “คณิตศาสตร์” หรือปริมาณที่เชื่อว่าจะทำให้ชนะการเลือกตั้ง พรรคทักษิณ และอนาคตใหม่ ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขับเคลื่อนความเกลียดชัง ชังคน ชังชาติ ชังคนเห็นต่าง ชังขนบ ชังกรอบ ชังทหาร ชังไปสารพัด
สิ่งเดียวที่ประชาธิปัตย์เห็นเป็นศัตรูและชัง คือ ปัญหาที่รุมเร้าประเทศชาติและประชาชน และประชาธิปัตย์มี “ทีม” ที่จะ “รบ” กับเรื่องเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ดร.สรรเสริญ สมะลาภา นายเกียรติ สิทธีอมร นายกรณ์ จาติกวณิช ที่จะรบกับปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง นายชวน หลีกภัย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคนายถาวร เสนเนียม นายราเมศ รัตนชเวง นายวิรัตน์กัลยาศิริจะรบกับปัญหาความอยุติธรรม ปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้เป็นธรรมและเท่าเทียม ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายอิสระ สมชัย ดร.ศุภชัย ศรีหล้า จะรบกับปัญหาของพี่น้องภาคอีสานร่วมกับทีมงานอีกชุดใหญ่ ปัญหาแรงงาน ทีมคือใคร ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาการศึกษา ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสังคม ฯลฯ ซึ่งตลอดเวลา นายอภิสิทธิ์และลูกทีมล้วนลงลึกและใส่ใจมาตลอด 4-5 ปี ทั้งๆ ที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีตำแหน่ง
ก๊กที่ 3 จึงไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้กับคางคก นกแสกที่ไหน มุ่งมั่น ใส่ใจ จริงจัง พร้อมเพรียง ที่จะนำเสนอปัญหาและคณะบุคคลที่จะเข้ามาแก้ปัญหา นำเสนอตนเองที่จะเป็น “ผู้บัญชาการสถานการณ์” ที่ใช้งาน “ทีมไทยแลนด์” นี้ ให้มีประสิทธิภาพได้ ให้คนมีความหวัง และพร้อมจะ “ร่วมรบ” ไปด้วยกัน
ก็จะเป็นก๊กที่สามที่น่าสนใจกว่า 2 ก๊กแรก ที่รบกันในเชิงอำนาจอย่างเดียว และแบ่งแยกเป็นขั้วเป็นข้างเพียงอย่างเดียว!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี