ผมโชคดีที่มีลูก และภรรยาผมก็โชคดีที่มีลูกเช่นกัน
แต่ถ้าจะเปรียบเทียบความโชคดีของผู้เป็นพ่อกับผู้เป็นแม่แล้ว ผมยังคิดว่าคนเป็นแม่โชคดีมากกว่า
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
บทความก่อน ผมได้วิเคราะห์ให้ฟังว่า ทำไมคนสมัยนี้ “ที่พร้อมกลับไม่ท้อง” แต่ “คนท้องกลับไม่พร้อม” และคนที่พร้อมจะมีลูก แต่ติดเงื่อนไขที่มองว่าการมีลูกเป็นภาระอย่างไรไปแล้ว
เหรียญย่อมมีสองด้าน
ความสุข ความดีของการมีลูก ก็มีมากมาย
ผมยอมรับว่า ทันทีที่รู้ว่าภรรยาตั้งท้อง มันเกิดความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ที่จะมีโอกาสได้เป็นพ่อคน มีโอกาสได้มีผู้สืบเชื้อสาย เหมือนหน่อไม้ที่เติบโตขึ้นจากต้นเดิม และมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายตัวเขา เราจะได้เห็นตัวเรา รู้จักตัวเราดีขึ้น เราจะได้เห็นวิวัฒนาการ การเจริญเติบโตของมนุษย์ที่ตัวเราเป็น
9 เดือนที่ต้องเฝ้าติดตาม ประคบประหงมภรรยาและลูกในท้อง ทำให้ครอบครัวดูจะมีความหมาย มีจุดมุ่งหมายที่สดใสขึ้น
วันลูกคลอด ผมมีความรู้สึกดีใจอย่างที่สุด มองโลกนี้ช่างสวยงาม ได้เห็นหน้าลูกผ่านกระจกใสที่ลูกอยู่ในเปลแก้วเล็กๆ ใจพองโตอย่างไรไม่รู้ ที่ได้เห็นเชื้อและหน่อของตัวเรา ที่เรามีส่วนสร้างมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมา วันนั้น ผมขับรถกลับบ้านด้วยความสุขอย่างยิ่ง
ผมเริ่มคิดถึงความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อ-แม่ ซึ่งเราได้สร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา ด้วยความรักของผู้เป็นพ่อ-แม่ ด้วยความต้องการในความสุขของผู้เป็นพ่อ-แม่ โดยที่เขาซึ่งเป็นลูกไม่มีโอกาสได้บอกว่าเขาอยากจะเกิดหรือไม่ ดังนั้น เราจะต้องเลี้ยงดูเขาอย่างดี ให้เป็นคนดีของสังคมให้ได้ และทำให้ได้คิดว่า ที่มีคนอ้างว่า “ลูกเป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่” เราก็เป็นหนี้
บุญคุณลูกเหมือนกันที่เขาเกิดมาเพราะเรา และให้ความสุขกับเรา โดยที่เขาตัดสินใจบอกเราไม่ได้ว่าอยากเกิดหรือไม่
ตื่นเต้น ตกใจ ทุกค่ำคืนในช่วงเดือนแรกที่ลูกร้องในเวลากลางคืนอย่างไม่รู้สาเหตุ ทำให้เราสองคนต้องผลัดกันอุ้ม ผลัดกันดูว่ามีมดกัด แมลงต่อยที่ไหนหรือไม่ ผลัดกันอ่านหนังสือค้นคว้าว่าลูกร้องไห้ตอนกลางคืนมีเหตุจากเรื่องอะไร
ผู้เป็นพ่อกับแม่ จึงมีเรื่องไปปรึกษา มีกิจกรรมร่วมกันด้วยความรักลูกที่เป็นศูนย์รวมใจของทั้งสองคน ได้พาไปปรึกษาหมอเด็กร่วมกัน และพอผ่านพ้นเดือนหนึ่งผ่านไป ลูกก็พัฒนาเจริญเติบโตต่อไป และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
แววตาของลูกเล็กๆ ที่มอง ช่างทำให้ผู้เป็นพ่อมีความสุข ซึ่งคงจะเทียบไม่ได้กับความสุขที่แม่จะได้รับเมื่อลูกดูดนม สัมผัส และมองตาแม่
ทำให้เข้าใจและรู้ซึ้งว่า สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นว่ารักและหวงแหนลูก เป็นเพราะอะไร และครอบครัวของสัตว์ โดยเฉพาะผู้เป็นแม่จะหวง และมีความสุขอย่างไรที่ได้อนุบาลลูก
การเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจ พัฒนาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
จากคว่ำเป็นคลาน
จากคลานเป็นนั่ง
เป็นยืน
เป็นเดินเตาะแตะ
การรับรู้ การเลียนแบบพ่อ แม่ และคนรอบข้าง
เกิดขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น
คำพูด การแสดงความรู้สึก แสดงความต้องการ พัฒนาขึ้น
และถ้าสังเกตให้ดี จะพบตัวของเรา ผู้เป็นพ่อ-แม่ ได้ถ่ายทอดพฤติกรรม วัฒนธรรมการกิน อยู่ หลับ นอน เข้าไปอยู่ในตัวลูกอย่างไม่รู้ตัว
ผู้เป็นพ่อ-แม่ ช่วยกันอ่านหนังสือ ลูกก็อยากรู้ว่าหนังสือมีอะไร ก็อยากอ่าน
ถ้าพ่อแม่ขยันทำงาน ลูกก็อยากรู้ว่าทำงานบ้าน
งานต่างๆ ดีอย่างไร ก็จะหยิบฉวยไม้กวาด เช็ดถูบ้านตามพ่อแม่ไปด้วย
แต่ถ้าพ่อกับแม่ชอบทะเลาะ ด่าทอ ลงมือลงไม้ ตีกัน ความรุนแรงเหล่านี้ก็จะเป็นเมล็ดพันธุ์งอกขึ้นมาในจิตใจและพฤติกรรมของลูก
สนุกและมีความสุขมากครับ ที่ได้ดำเนินชีวิตความครอบครัวอย่างมีจุดหมาย มีผู้สืบสันดาน มีผู้สืบเชื้อสาย รับมรดกทั้งดีและไม่ดีจากตัวพ่อและแม่ทั้งสองคน
เมื่อลูกประสบความสำเร็จในการเรียน ได้รับรางวัล
ได้รับคำยกย่อง พ่อและแม่ก็ปลื้มใจ และมีความสุขที่ได้รับรู้ ได้มีส่วนร่วมในการเสริมสร้าง
เมื่อลูกทำงานเป็นประโยชน์ต่อสังคม ก็ภูมิใจที่ตัวแม่และพ่อได้มีส่วนสร้างอนาคตของประเทศ ของสังคม
แต่ถ้าผมและภรรยาไม่มีลูก ชีวิตคงจะขาดสิ่งดีๆ นี้ไป
แน่นอน เราสองคนคงต้องหาอะไรมาทดแทน เช่น เลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงนก หากิจกรรมท่องเที่ยว และก็มองแง่ดีว่าไม่มีลูกก็ดี ไม่มีภาระ
ขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ เป็นวันแม่ “12 สิงหาคม” ผมจึงได้ไปสัมภาษณ์ รวบรวมความรู้สึกของผู้เป็นแม่ 3-4 คน มาฝาก เพราะอาจเหมือนหรือต่างจากที่ผมเข้าถึงและเข้าใจ
เพิ่มเติม ดังนี้
ช่วงก่อนมีลูก... บรรดาแม่ๆ บอกว่า หลังจากแต่งงานคิดว่ามีลูกก็ได้ ไม่มีก็ได้ แต่วันหนึ่งเมื่อเห็นคนอื่นมีลูกน่ารักก็รู้สึกอยากมีลูก เพราะอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์
เมื่อรู้ว่าท้อง... บางคนบอกว่า ทันทีที่เห็นผลจากกระดาษตรวจวัดปัสสาวะขึ้น 2 ขีด ดีใจที่สุดในชีวิตที่มีลูก หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี, อีกคนบอกว่าปลื้มจนน้ำตาไหลพราก ตื่นเต้นกับการมีสมาชิกใหม่ ไม่มีรู้สึกเป็นภาระใดๆ
ระหว่างอุ้มท้อง... แม่ๆ ก็บอกคล้ายๆ กันว่า พยายามบำรุงร่างกายเต็มที่ ปรับพฤติกรรมการกิน การนอน การใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น ไม่ชอบดื่มนมจืดที่สุด แต่ก็ต้องดื่ม เพราะรู้ว่าจะเป็นประโยชน์กับลูก น้ำอัดลมที่ชอบก็ต้องงด เคยเดินเร็วๆ ก็ต้องเดินช้าลง เคยทำงานหนัก
นอนดึก ก็ต้องลดลง แทบทุกคนจะพูดคุยกับลูกตั้งแต่อยู่ในท้องตลอดเวลา ประคับประคองครรภ์อย่างทะนุถนอม ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเลี้ยงลูก
ตอนคลอดลูก... หลายคนตั้งใจจะคลอดแบบธรรมชาติ เพราะเชื่อว่าการคลอดแบบธรรมชาติน่าจะดีที่สุด
ครั้งแรกที่เห็นหน้าลูก รู้สึกถึงสิ่งมหัศจรรย์ ที่รอคอยมาถึง 9 เดือน
รู้สึกถึงการ “ให้” คนคน หนึ่ง โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เลย สามารถทำทุกอย่างให้ลูกโดยไม่เหน็ดเหนื่อย
อุ้มลูกแล้วมีความสุข หนักแค่ไหนก็อุ้ม เพราะคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี โตแล้วอุ้มไม่ได้
มีความรู้สึกว่า ลูกเราน่ารักที่สุดในโลก
เวลาให้นมลูก เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
มีความรู้สึกว่าตัวเอง “มีคุณค่า” สามารถสร้างคนคน หนึ่งขึ้นมาได้
ช่วงหลังคลอด... คุณแม่ต่างพยายามหาข้อมูลความรู้จากทุกแหล่งในการเลี้ยงลูก เพื่อทำให้พัฒนาการลูกให้ดีที่สุด, การมีลูกทำให้สนุกกับเรื่องใหม่ๆ ได้ทุกวัน, การมีลูกทำให้สัมพันธภาพของครอบครัวแน่นแฟ้น ครอบครัวอบอุ่นขึ้นอย่างชัดเจน, ทำให้เรารู้สึกรักแม่ตัวเองมากขึ้น เพราะรู้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ให้เราได้ทุกอย่างอย่างไม่มีข้อจำกัดเลย, คอยเฝ้าดูติดตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย ตื่นเต้นไปกับสิ่งที่ลูกทำได้ เช่น คลาน เดิน นั่ง วิ่ง พูด
แม่บางคนบอกว่า ช่วงนั้น อะไรๆ ของลูกก็ดีไปหมด แม้แต่อึก็ยังหอม
ช่วงเข้าโรงเรียน... เริ่มเข้าโรงเรียนก็เป็นห่วง แต่ให้ลูกเข้าสังคมได้, เมื่อลูกประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ก็จะภูมิใจแทน, เห็นการเจริญเติบโตของลูกทุกวินาที ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี, อยากเห็นลูกเป็นคนเก่งคนดี นอกจากนี้ คนเป็นแม่ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้เรียนรู้จากลูกในหลายๆ เรื่อง
เรียนจบ... ภูมิใจที่ลูกประสบความสำเร็จ ดีใจที่มีงานทำ มีอนาคต อยากอวด อยากคุยความสำเร็จของลูกให้โลกรู้…. ฯลฯ
หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่จะเข้าใจ ว่าจะพูด จะเขียน จะบรรยายอย่างไร ก็ไม่เท่ากับประสบการณ์จริงของการมีลูก ทั้งความหลากหลายของเหตุการณ์ และความลึกซึ้งในความรู้สึก
มีทั้งภาระหลายอย่าง แต่ก็มีความสุขของชีวิต ของครอบครัว เป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ถ้ามีลูกได้ ถ้าพร้อมจะทำงานใหญ่ (สร้างมนุษย์ สร้างสังคมโลก)
ถ้าพร้อมจะมีความสุขตามธรรมชาติ
มีลูกและเป็นแม่กันเถอะครับ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี