ขอชื่นชมความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนแหล่งเงินทุนให้กับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง” โดยท่านนายกรัฐมนตรีเร่งให้ยกร่างพระราชบัญญัติจัดเก็บเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. .... แต่คำถามที่ตามมาคือวิธีการหาเงินมาสนับสนุนให้กับกองทุนฯ นั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ในสถานการณ์ปัจจุบันเพราะร่างกฎหมายบัญญัติให้จัดเก็บ “เงินสมทบ” เข้ากองทุนฯ เฉพาะจากสินค้ายาสูบในอัตรา “10 สตางค์ต่อมวน”ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า “ยาสูบ” ตกเป็นเป้าหมายในครั้งนี้เพียงสินค้าเดียว ในขณะที่ยังมีข่าวชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศประท้วงเรื่องผลกระทบจากภาษีสรรพสามิตและการไม่รับซื้อใบยาสูบยังไม่ได้รับการแก้ไข
ที่ผ่านมามีการขึ้นภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่อย่างต่อเนื่อง เมื่อกันยายนปีที่ผ่านมามีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตให้สูงขึ้น และเริ่มจัดเก็บภาษีเพื่อมหาดไทยอีก 10% และต่อมาในเดือนมกราคมปีนี้ก็มีการเรียกเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนผู้สูงอายุเพิ่มเติมเข้าอีกร้อยละ 2 ของยอดภาษีสรรพสามิต ทำให้ราคาบุหรี่ในตลาดแพงขึ้นจาก 40 บาท เป็น 60 บาทต่อซอง ส่งผลให้บุหรี่เถื่อนเกลื่อนเมือง ในขณะที่อุตสาหกรรมยาสูบก็ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างโดยเฉพาะผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก ของปีงบประมาณ 2561 ของการยาสูบแห่งประเทศไทยแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด กำไรลดลงจากเดิม 4,000 ล้านบาท เหลือเพียง 600 ล้านบาท ลดลงมากกว่าร้อยละ 80 จนเป็นที่มาของการประกาศงดรับซื้อใบยาจากชาวไร่ยาสูบไปอีกถึง 3-5 ปี ปัจจุบันชาวไร่ยาสูบก็ยังรอคำตอบว่าจะได้ปลูกยาสูบเพื่อเลี้ยงชีพต่อไปหรือไม่
ปัจจุบันบุหรี่ราคา 60 บาท ซองหนึ่งของการยาสูบฯ ก็ทำกำไรซองละไม่ถึง 1 บาท หากต้องเสียเงินสมทบกองทุนบัตรทองอีกมวนละ 10 สตางค์ ก็คือซองละ 2 บาท คงต้องขึ้นราคาทำให้เสียภาษีในอัตราสูงขึ้นจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 40 เพิ่มขึ้นเท่าตัว จนบุหรี่ในตลาดต้องขายที่ราคาซองละ 90-100 บาท ดังนั้นผลของการเก็บภาษีเพื่อบัตรทองครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่เป็นร้อยละ 40 ของราคาขายปลีกแนะนำ ซึ่งมีกำหนดในเดือนตุลาคม 2562 ที่ชาวไร่ยาสูบก็ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการเลื่อนการขึ้นภาษีดังกล่าวออกไป เพราะหากเกิดจริงคงไม่พ้นกระทบกับชาวไร่ยาสูบอย่างรุนแรงแน่นอน ภาษีบุหรี่เพื่อบัตรทองจะทำให้ปัญหาการลุกลามของบุหรี่เถื่อนจะรุนแรงขึ้นแน่นอน ยอดขายบุหรี่ถูกกฎหมายอาจลดหายไปกว่าครึ่ง นั่นหมายความว่า การเก็บภาษีต่างๆ จากสินค้าบุหรี่ที่เป็นเสมือน “ห่านทองคำ”อาจไปต่อไปไม่ได้เหมือนที่ผ่านมาเพราะ “ห่านทองคำ” ตัวนี้กำลังจะตาย ด้วยอัตราภาษีที่ทำให้ราคาบุหรี่พุ่งขึ้นอีกเท่าตัวภายใน 2 ปี และนี่อาจหมายถึงภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่ที่จะลดลงตามไปด้วย
รัฐบาลอาจมองง่ายๆ ว่าต้องรักษาระบบบัตรทองไว้ด้วยการหาเงินสมทบมาเพิ่ม เพื่อสวัสดิการของประชาชนไทยทั้งประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่ควรสนับสนุนเพราะสุขภาพของประชาชนนั้นเป็นเรื่องสำคัญกว่ารายได้จากภาษีบุหรี่ แต่การหาเงินด้วยวิธีการที่ทำให้เกษตรกรชาวไร่กว่า 50,000 ครอบครัวต้องรับเคราะห์ขาดอาชีพขาดรายได้ ถือว่าเป็นธรรมแล้วหรือ ไม่มีวิธีอื่นๆ ใดที่จะหารายได้เข้ากองทุนฯ ได้อีกแล้วหรืออย่างไร และรัฐบาลได้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมยาสูบด้วยหรือไม่ หากทำให้การค้าของเถื่อนหนีภาษีระบาดหนักขึ้น ใครได้ใครเสียประโยชน์อย่างไร รัฐบาลจะเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่ได้เท่าเดิมหรือไม่ ท่านนายกรัฐมนตรีและท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบเพราะท่านคงไม่อยากซ้ำเติมให้ทุกข์ของชาวไร่ยาสูบมากไปกว่านี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี