ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยภาพรวมของปีจอ 2561 นั้นถือว่าเป็นช่วงที่ดีมากกว่าปีที่แล้วคือปี 2560 ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เผยผ่านพลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลและรั้งตำแหน่งรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์สำนักนายกรัฐมนตรีด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความพอใจผลประเมินดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคมปี 2561 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ที่รายงานว่า อยู่ที่ระดับ 82.2 ถือว่าปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องและเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 62 เดือนหรือ 5 ปีเต็ม นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2556 โดยทุกรายการปรับตัวดีขึ้นแทบทั้งสิ้น เนื่องจากประชาชนเห็นว่าการส่งออกและการท่องเที่ยวขยายตัวดีจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้น
ส่วนราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการเริ่มดีขึ้นและกำลังซื้อของประชาชนในหลายจังหวัดก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกันเช่นเดียวกับรายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทยเดือนกรกฎาคมปี 2561 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน จากระดับ 44.7 ในเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 45.1 เนื่องจากครัวเรือนมีมุมมองต่อเรื่องรายได้และการมีงานทำดีขึ้น
ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมเริ่มเข้าสู่ฤดูเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาด ช่วยหนุนให้เกษตรกรมีรายได้ ส่วนตัวเลขการจ้างงานของประเทศ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 651,970 อัตรา และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 260,500 อัตรา
พล.ท.สรรเสริญ โฆษกของรัฐบาลยังได้กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เน้นย้ำว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหารายได้ของประชาชนไม่เพียงต่อค่าครองชีพในปัจจุบันโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือหลายอย่างเพื่อเพิ่มรายได้และลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นาโนไฟแนนซ์ พักชำระหนี้เกษตรกรเป็นระยะเวลาหลายปี ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกร โครงการแฟรนไชส์สร้างอาชีพให้ประชาชนรายได้น้อยเป็นต้น
สำหรับข้อกังวลว่าเศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างประเทศนั้น ขอยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณผลกระทบใดๆแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ประมาท โดยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังแสดงความยินดีที่ประเทศไทยมีอันดับความสามารถด้านโลจิสติกส์ในปี 2561 ดีขึ้น จากการประกาศของธนาคารโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 32 จากเดิมเมื่อปี 2559 อยู่ที่อันดับ 45 ซึ่งนับว่าดีขึ้นถึง 13 อันดับ
เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลได้ขับเคลื่อนแผนงานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศจนเห็นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟทางคู่รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ และท่าอากาศยานแห่งใหม่ ส่วนการสร้างรถไฟฟ้าโดยสารในกรุงเทพมหานครนั้นคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568 ทุกๆ สายซึ่งจะส่งผลให้ระบบการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักในพื้นที่กรุงเทพมหานครคลี่คลายลงไปได้มาก
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีปัญหาราคาผลผลิตทางด้านเกษตรกรรมและการประมงตกต่ำซึ่งหน้าที่การแก้ไขเป็นภาระของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงกระทรวงศึกษาธิการโดยรัฐมนตรีที่เป็นเจ้ากระทรวงเหล่านี้ประกอบด้วย
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายเจษฎา บุญราช นายอุตตม สาวนายน พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์และนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์การแก้ไขราคาผลผลิตตกต่ำไม่ได้อยู่ที่การพยุงราคาแต่อยู่ที่การหาตลาดรับซื้อให้ได้ราคาดีซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะตลาดเป็นของฝ่ายผู้ซื้อที่เป็นพ่อค้าคนกลาง การที่รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงราคาเพียงอย่างเดียวไม่ใช่จะทำได้ผลสำเร็จเสมอไปทุกๆ ครั้ง
สิ่งที่ยากลำบากมากๆ ก็คือการปรับปรุงและปรับทัศนคติของเกษตรกรให้รับทราบความก้าวหน้าทางวิทยาการที่ทันสมัยต่างๆ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากไม่น้อยที่เกษตรกรจะเข้าใจความหวังดีของภาคราชการนอกจากนั้นในการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายนั้นก็มีข้อจำกัด มาจากการดำเนินการของนักการเมืองส่วนท้องถิ่นและจากตัวข้าราชการฝ่ายปกครองในพื้นที่อีกด้วยจึงมีผลให้นโยบายต่างๆ มีข้อขัดข้องและไม่สามารถปฏิบัติให้ได้ดีตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น การที่จะไปโทษระบบราชการแต่เพียงฝ่ายเดียวจึงเป็นสิ่งที่ทุกๆ ฝ่ายต้องเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงด้วย
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี