พูดถึงบริษัทระดับหลานของ ปตท.มาแล้ว วันนี้ ขอแฉลบมาพูดถึงบริษัทแม่ คือ ปตท.หรือ PTT`
ว่าด้วยความ “ใหญ่” ของกิจการ ปตท.
ซึ่งมีกระทรวงการคลังของไทยถือหุ้นอยู่ร้อยละ 51.11
1. ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 ปตท. และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 2,293,206 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจาก ณ 31 ธันวาคม 2560 จำนวน 60,892 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7
2. ปตท.มีบริษัทย่อยที่ ปตท.ลงทุนเองทั้งหมดจำนวนมาก
และยังมีบริษัทลูก บริษัทหลาน รวมถุงบริษัทพันธมิตรอีกจำนวนมหาศาล นับไม่หวาดไม่ไหว
ธุรกิจน้ำมันเป็นเพียงกิจการที่สร้างกำไรส่วนน้อยให้แก่ ปตท. (กำลังจะแยกออกไปด้วย)
3. ปตท. ได้ให้การสนับสนุนเงินกู้แก่บริษัทย่อยหลายแห่ง วงเงินรวม 216,827 ล้านบาท
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 ปตท.ได้จ่ายเงินกู้ให้แก่บริษัทย่อยทั้งหลายไปแล้ว รวม 42,157 ล้านบาท
คงเหลือวงเงินอีกจำนวน 174,669 ล้านบาท
เรียกว่าเป็น บุพการีของบริษัทในเครือจำนวนมาก
และบริษัทเหล่านั้น ก็นำมาซึ่งผลกำไร และบางกรณีก็นำมาซึ่งปัญหายุ่งยากชวนปวดหัวด้วยเช่นกัน
4. ยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท. มีสินทรัพย์มหาศาล กำไรมโหฬารเป็นเงาตามตัว (แต่ถ้าเทียบกับสินทรัพย์ ยังถือว่าน้อย) ขณะเดียวกัน ก็มีปัญหาข้อพิพาทในหลายกรณีค้างคาอยู่ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งจะมีผลต่อรายรับและรายจ่ายต่อไปในอนาคต เช่น
4.1 กรณีโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
ขณะนี้ ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด หลังจากที่ในวันที่ 19 มิถุนายน 2552 สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวก ได้ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐ 8 หน่วยงาน ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ระงับโครงการลงทุน 76 โครงการ ในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง
ในจำนวนนี้ มีโครงการในเครือของ ปตท.อยู่ด้วย
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
4.2 บริษัทย่อยถูกไล่เบี้ย
บริษัทย่อยแห่งหนึ่ง มีสัญญาขายผลิตภัณฑ์ให้แก่ ปตท. เพื่อนำไปขายต่อให้แก่บริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่ง โดยสัญญามีกำหนดระยะเวลา 15 ปี ซึ่งครบกำหนดสัญญาในวันที่ 31 มกราคม 2555 ก่อนครบกำหนดสัญญา บริษัทย่อยดังกล่าวได้แจ้งไม่ต่ออายุสัญญากับ ปตท. ปตท.จึงมีความจำเป็นต้องแจ้งไม่ต่ออายุสัญญากับบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว (อธิบายว่าเป็นการแจ้งล่วงหน้า
ตามเงื่อนไขและข้อกำหนดในสัญญา)
ปรากฏว่า วันที่ 3 ธันวาคม 2552 บริษัทจดทะเบียนดังกล่าวได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เรียกร้องให้ ปตท.และบริษัทย่อยในฐานะผู้ขายและผู้ผลิต ให้ปฏิบัติตามสัญญาโดยขายผลิตภัณฑ์ให้แก่บริษัทจดทะเบียนดังกล่าว หรือให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
จากนั้น บริษัทย่อยได้ยื่นคำร้องต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ขอให้จำหน่ายข้อพิพาทในส่วนของบริษัทย่อยออก ซึ่งสถาบันอนุญาโตตุลาการได้มีคำสั่งให้จำหน่ายข้อพิพาทในส่วนของบริษัทย่อยออก
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2559 คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดให้ ปตท.ชำระค่าเสียหายบางส่วนให้แก่บริษัทจดทะเบียนดังกล่าว แต่เนื่องจาก ปตท.เห็นว่าคำชี้ขาดอาจมีความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เมื่อวันที่30 มิถุนายน 2559 ปตท.โดยพนักงานอัยการ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการแล้ว ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง
อันนี้ อาจเรียกว่า เป็นกรณีลูกหลานหาเรื่องมาให้
ยังไม่ขอเปิดเผยมูลค่าวงเงิน และคู่กรณี
4.3 ถูกบริษัทรับเหมาฟ้อง “แลกหมัด”
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกรายหนึ่ง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ปตท. เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง กล่าวหาว่า ปตท.บอกเลิกสัญญาโดยไม่มีสิทธิและปฏิบัติผิดสัญญา และเรียกร้องให้ ปตท.จ่ายค่าจ้างค้างชำระและค่าเสียหาย (ปตท.ยืนยันว่าดำเนินการโดยชอบด้วยสัญญาทั้งสิ้นจึงได้ส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแก้ต่างคดีให้) ต่อมา ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้โอนคดีไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลปกครองกลาง ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
ขณะเดียวกัน หลังจาก ปตท.บอกเลิกสัญญาต่อบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างดังกล่าวแล้ว ปตท.ก็ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติต่อไปจนแล้วเสร็จ และต่อมา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ปตท. จึงได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เรียกร้องให้บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างชดใช้ค่าเสียหายจากการปฏิบัติผิดสัญญาและทิ้งงาน ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
4.4 กลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายในต่างแดนฟ้องบริษัทลูก กรณีแหล่งมอนทารา
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2553 PTTEP Australasia (PTTEP AA) ได้รับเอกสารจากรัฐบาลอินโดนีเซีย เรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลจากแหล่งมอนทาราในทะเลติมอร์เมื่อปี 2552 ซึ่ง PTTEP AA ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้ เนื่องจากการเรียกร้องดังกล่าวไม่มีหลักฐานชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความเสียหาย
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 PTTEP AA ได้รับหนังสือจากบริษัทที่ปรึกษากฎหมายในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายในติมอร์ตะวันตก แจ้งว่าจะเริ่มดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559 PTTEP AAได้รับคำฟ้องอย่างเป็นทางการจากตัวแทนของกลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายที่ได้ยื่นฟ้องร้องคดีแบบกลุ่ม (Class action) ต่อศาลออสเตรเลียกลาง (ปตท.ยื่นยันว่าคำฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีพยานหลักฐานที่จะสนับสนุน ข้อเรียกร้องแต่อย่างใด) ทั้งนี้ PTTEP AA ได้มีการแต่งตั้งทนายความเพื่อดำเนินการต่อสู้คดีความในศาลแล้ว
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 ปตท. และ PTTEP ได้รับคำฟ้องอย่างเป็นทางการ ตามที่รัฐบาลอินโดนีเซียโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ปตท. และกลุ่มบริษัท PTTEP 2 บริษัท ต่อศาลในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นจำนวนเงินประมาณ 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปตท. ยืนยันว่า มิได้เป็นผู้ดำเนินการแหล่งมอนทาราโดยตรงแต่อย่างใด โดย ปตท.และกลุ่มบริษัท PTTEP 2 บริษัท จะดำเนินการต่อสู้ในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่อไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้อินโดนีเซีย ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องต่อศาลโดยให้เหตุผลว่าจะแก้ไขคำฟ้อง และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้ว ทั้งนี้ PTTEP ระบุว่า การฟ้องร้องจากตัวแทนของกลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายเรื่องความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในแหล่งมอนทารา ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้หรือสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว
5. กรณีข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างในอีกหลายๆ กรณี ที่ ปตท. และบริษัทในเครือต้องต่อสู้ต่อไป
อันเป็นผลมาจากความ “ใหญ่” ของอาณาจักร ปตท. ที่แผ่ขยายออกไม่หยุดหย่อน
นำมาซึ่งผลกำไร ความมั่งคั่ง ในหลายๆ กรณี
และก็นำมาซึ่งผลขาดทุน ความเสี่ยง ในหลายๆ กรณีเช่นกัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี