เสียงคัดค้านจากหลายภาคส่วนแม้กระทั่งจากบุคคลสำคัญระดับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีที่จะยกที่ดินแปลงมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย แถมพกแถมห่อให้แก่โครงการประมูลรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน กึกก้องทั้งแผ่นดินแล้ว
กระทั่งมีการฟันธงทางโซเซียลมีเดียไว้แล้วว่า ผู้ที่รับผิดชอบและทำโครงการนี้มีอนาคตที่จะต้องติดคุกอย่างแน่นอนให้สั่งเสียครอบครัวลูกเมียไว้ได้เลย
แม้กระทั่งสหภาพการรถไฟฯ และกระบวนการผู้ใช้แรงงานซึ่ง 2-3 ปีมานี้ ก็มีท่าทีสนับสนุนและญาติดีกับรัฐบาลก็พากันคัดค้านอย่างครึกโครม ดังนั้นมาตรแม้ผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องหูไม่หนวกตาไม่บอด ก็ย่อมได้ยินได้รู้ และคงจะได้สติยั้งคิด
อย่างน้อยก็คงจะได้ยั้งคิดว่า แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์พระสยามเทวาธิราชมีจริง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติในลักษณะโกงบ้านกินเมืองแม้มีอำนาจบาตรใหญ่แค่ไหน แต่ในที่สุดไม่ถูกอำนาจแห่งกฎหมายลงโทษติดคุก ก็ต้องหลบหนีเป็นสัมภะเวสีไม่มีแผ่นดินอยู่อาศัย หรือไม่ก็ชิงฆ่าตัวตายเพราะอายฟ้า อายดิน อายผู้คนในครอบครัวมามากต่อมากแล้ว
แต่ทว่า เรื่องนี้ก็เอาแน่ไม่ได้ เพราะเมื่อถึงกาลวินาศฉิบหายมาถึงแล้วตาก็จะบอด หูก็จะหนวกสติปัญญาก็จะวิปลาศฟั่นเฟือนไป ดังพระพุทธวจนะที่ว่าวินาศกาเล วิปริตะพุทธิ ซึ่งแปลว่า เมื่อกาลวินาศมาถึงเข้าแล้ว สติปัญญาย่อมวิปริตแปรปรวนไป
ดังนั้นจึงต้องจับตาดูกันว่าคนมีอำนาจหน้าที่จะได้สติยั้งคิด หรือว่าจะวิปริตแปรปรวนไปเพราะกาลวินาศมาถึง
กรณีเรื่องนี้ มีเหตุผลและข้อเท็จจริงควรแก่การพิจารณารับฟังดังจะแสดงให้เห็นในประการต่างๆ ดังนี้
ประการแรก เป็นโครงการที่ซูเอี๋ยกันมาแต่ต้น มีหลักฐานชัดเจนทางเทปโทรทัศน์จากการแถลงของเจ้าสัวคนหนึ่ง ว่าคนมีอำนาจไปขอให้ช่วยพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นสนามบินของทหารเรือมาแต่ก่อน และอาจพัฒนาเป็นสนามบินพาณิชย์ได้ และสนามบินนี้ถ้าจะให้ตีราคาประโยชน์อย่างน้อยที่สุดก็คงไม่น้อยกว่า 2 แสนล้าน
ประการที่สอง จากนั้นก็เกิดโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และขยายตัวกว้างออกไปจากพื้นที่ EEC คลุมเข้ามาถึงกรุงเทพมหานคร นั่นคือโครงการสร้างรถไฟฟ้า หรือรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสนามบินอู่ตะเภา สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง และมีข่าวทางสื่อมวลชนหนาหูหนาตาว่า ได้มีการยกโครงการนี้ให้กับเอกชนรายเดิมเป็นผู้ดำเนินการ และมีข่าวการเจรจาของเอกชนดังกล่าว กับผู้ประกอบการในต่างประเทศซึ่งมีหลักฐานจำนวนมากประจักษ์ชัด
ประการที่สาม จากนั้นก็มีข่าวตามมาอีกว่า เพื่อให้การบริหารจัดการสะดวกและจูงใจการลงทุน จะมีการยกโครงการบริหารแอร์พอร์ตลิงค์ และที่ดินรถไฟแปลงมักกะสันให้กับเอกชนที่ทำโครงการนี้ด้วย
ซึ่งที่ดินแปลงมักกะสันนี้ เป็นที่ดินพระราชทาน ที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานให้เป็นสมบัติของการรถไฟฯ เพื่อหาประโยชน์บำรุงการรถไฟซึ่งจะช่วยลดต้นทุน และทำให้การรถไฟคิดค่าโดยสารจากราษฎรในราคาไม่สูงได้
ที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่ประมาณ 700 ไร่ได้ใช้ทำโครงการตามพระราชดำริเป็นบึงเก็บน้ำมักกะสันประมาณ 200 ไร่เศษ เหลืออีก 400 ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่สามารถจัดหาผลประโยชน์ได้ ประมาณเกือบ 200 ไร่เพราะจะต้องกันเนื้อที่ที่เหลือไว้ให้เป็นปอดสำหรับกรุงเทพฯ หรือสำหรับใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน
ที่ดินแปลงนี้สามารถจัดหาประโยชน์ได้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ถ้าบริหารจัดการโดยคนดีมีฝีมือก็อาจได้ผลประโยชน์ถึง 5 แสนล้านบาท
สำหรับโครงการแอร์พอร์ตลิงค์นั้น รัฐบาลได้ลงทุนไปแล้วเกือบแสนล้านบาท และมีผลขาดทุนตบหน้าตบปากประจานหน่วยงานและคนที่เสนอและทำโครงการนี้ให้เป็นที่ประจักษ์อยู่กลางพระนครว่า นี้คือความผิดพลาดล้มเหลวที่เป็นอนุสาวรีย์ให้ประจักษ์ไว้ในแผ่นดิน
ประการที่สี่ ในที่สุดก็มีการสรุปโครงการตามที่สื่อมวลชนรายงานข่าวว่าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินนั้น จะเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน โดยมีวงเงินลงทุน 2 แสนล้านบาท ซึ่งกำหนดให้เอกชนต้องลงเงิน 120,000 ล้านบาท และรัฐต้องลงเงิน 80,000 ล้านบาทซึ่งหมายความว่า โครงการลงทุนนี้เอกชนจะเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นข้างมากที่มีอำนาจบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ประการที่ห้า มีการแถลงข่าวในระหว่างที่บุคคลสำคัญในรัฐบาลเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสว่า เอกชนรายที่เป็นข่าวว่าจะได้โครงการนี้ได้ตกลงร่วมการงานกับบริษัทฝรั่งเศสในการจัดทำโครงการนี้ และตามข่าวก็ระบุว่า มีรัฐมนตรีคนสำคัญนั่งแถลงข่าวด้วย
ทั้ง 5 ประการนี้ เมื่อประกอบเข้ากันแล้วสาธุชนทั้งหลายย่อมตัดสินใจได้ด้วยตนเองว่า โครงการนี้ทำเพื่อใคร และใครจะได้ทำโครงการนี้ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของใคร
ที่ผู้คนนินทากันว่าเรื่องนี้ เป็นการขายล้อแถมรถ ก็เพราะว่าในวงเงินลงทุน 2 แสนล้านบาทนั้น เอกชนลงเงินเพียง 120,000 ล้านบาท
แต่รัฐจะต้องลงเพื่อผลประโยชน์ต่อแผ่นดินหลายประการคือ
ประการแรก รัฐต้องลงเงิน 8 หมื่นล้านบาท
ประการที่สอง รัฐต้องเอาสมบัติของชาติ คือ สนามบินอู่ตะเภาของกองทัพไปให้เอกชนบริหารจัดการหาผลประโยชน์ ซึ่งอาจตีราคาได้ไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท
ประการที่สาม รัฐต้องเอาสมบัติชาติคือเส้นทางรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นราคาที่ดินมูลค่ามหาศาลแล้วสิทธิประโยชน์ในการเดินรถที่อาจตีราคาได้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท
ประการที่สี่ รัฐต้องเอาสมบัติชาติ คือ แอร์พอร์ตลิงค์ทั้งส่วนที่เป็นที่ดินและเงินลงทุนให้เอกชนไปบริหารจัดการ ซึ่งตีราคาได้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
ประการที่ห้า รัฐต้องเอาสมบัติชาติคือที่พระราชทานแปลงมักกะสันของการรถไฟฯไปให้เอกชนหาผลประโยชน์ทางพาณิชย์ ผิดไปจากพระบรมราชเจตนาซึ่งอาจตีราคาได้ไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาท
ทั้ง 5 ประการนี้ เมื่อเทียบกับเงินลงทุนของเอกชน 120,000 ล้านบาทแล้วเมื่อเทียบกับการขายล้อแถมรถก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หากสติปัญญาไม่วิปราศก็คงจะได้สติยั้งคิดเป็นมั่นคง
และเรื่องนี้อาจมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องพิจารณาว่าสมควรใช้อำนาจตามกฎหมายบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ปัญหาความเสียหายเสียเปรียบของรัฐหรือไม่ เพราะบรรทัดฐานคดีจำนำข้าวย่อมมีผลในอนาคตด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี