เวลานี้ นับว่าไม่มีใครหลบเลี่ยงที่จะชี้ชัดกันแล้วล่ะ ว่าการเลือกตั้งต้องมาถึง เพียงแต่จะมาถึง “เมื่อไร” เท่านั้นเอง
หากดูเงื่อนไขที่ว่า ต้องมีกฎหมาย 4 ฉบับประกาศใช้ครบ จึงจะนำไปสู่การเตรียมการกำหนดวันเลือกตั้งได้นั้น บัดนี้ยังเหลือกฎหมายอีก 2 ฉบับ เรียกอย่างลำลองว่า กฎหมาย สส. กับกฎหมาย สว. อยู่ในกระบวนการขององค์พระประมุข
โดยเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2561 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยว่า รัฐบาลได้นำ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. หรือ ขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อ 15 มิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว
ทั้งนี้ เป็นไปตามระยะเวลาในโรดแมปเลือกตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นายกรัฐมนตรี จะนำร่างกฎหมายทูลเกล้าฯ ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน คาดการณ์ว่า กฎหมายจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาประมาณเดือนกันยายน 2561 และด้วยระยะเวลาในร่าง พ.ร.ป. สส. กำหนดให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ 90 วัน หลังจากวันที่ประกาศใช้ โดยในมาตรา 268 รัฐธรรมนูญ ปี 2560 กำหนดให้จัดการเลือกตั้ง สส.ภายใน 150 วัน นับจากวันที่กฎหมายเลือกตั้ง 4 ฉบับ มีผลใช้บังคับ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้ง 4 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.)
ดังนั้น ถ้ายึดเอาตามคำให้สัมภาษณ์ของนายวิษณุ ก็ต้องรอเดือนกันยายนนี้ จึงจะชัดเจนว่า ระยะเวลาของการจัดการเลือกตั้งจะเป็นวันใด เดือนใด และปีใด จะเป็น 150 ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้จริงหรือไม่
หลายคนก็ยังลังเล ไม่แน่ใจ เพราะบ่อยครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ถ้ายังไม่สงบก็ยังไม่เลือกนะ แต่ที่ชัดเจนที่สุด เห็นจะเป็นการแถลงเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา เวลา 14.10 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์หลังการเป็นประธานการประชุมครม.ว่า
“ขอให้บ้านเมืองสงบสุข สิ่งสำคัญที่สุดทุกคนต้องอย่าลืมและอย่าเอามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง สิ่งสำคัญที่สุด คสช.พิจารณาอยู่ในวันนี้ คือ การเตรียมการไปสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก คนไทยทุกคนอย่าลืม เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ และอย่าหาว่าผมเอาเรื่องนี้มาอ้าง เป็นคนละเรื่องกัน วันนี้ผมต้องการให้ประเทศชาติสงบ มีเสถียรภาพ ซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนในระยะเวลานี้ด้วย ส่วนการเลือกตั้ง เราก็เดินของเราไป ให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งผมก็ไม่ได้เห็นว่าขัดแย้งอะไรกัน”
ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปแล้วจะมีการเลือกตั้งก่อนพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก หรือหลังพระราชพิธีฯ ดังกล่าว พลเอกประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า “การเลือกตั้งจะเกิดหลังอยู่แล้ว หลังพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก”
อย่างไรก็ตาม แม้กำหนดการยังไม่ชัด แต่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นชัดแสนชัด ว่าทุกพรรค ล้วนเตรียมการสู่การเลือกตั้ง และเตรียมกลยุทธ์เพื่อพิชิตชัยชนะกันอย่างอุตลุด ดีบ้าง ชั่วบ้าง ประชาชนพึงพิจารณากันไป
แต่ประเด็น “ชี้ขาด” ผลการเลือกตั้ง มีคนมองข้ามช็อตไปถึงจุดนั้นแล้ว
โดยเมื่อวันที่ 13 ส.ค. นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิตและผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวถึงบรรยากาศของการเตรียมการเลือกตั้งของพรรคการเมืองโดยทั่วไปในขณะนี้ นอกเหนือจากการชิงไหวชิงพริบของพรรคเก่าและพรรคใหม่ การดูด สส.การจัดขั้วจัดข้างแล้ว ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การช่วงชิงการเป็นผู้กำหนดวาระในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ซึ่งถือเป็นจุดชี้ขาดของผลการเลือกตั้ง ที่ในขณะนี้ วาระของการเลือกตั้งเริ่มเห็นการตีคู่ขนานกันของสองกระแสสองวาระ
โดยกระแสที่หนึ่งเป็นกระแสต่อเนื่องมา คือ การปฏิรูปประเทศ ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังว่า วาระการปฏิรูปประเทศ น่าจะเป็นกระแสใหญ่ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ ทำให้พรรคการเมืองหน้าใหม่ รวมทั้งพรรคการเมืองเดิมหลายพรรคเริ่มส่งสัญญาณ ชูและพูดเรื่องการปฏิรูปประเทศขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะพรรคที่ก่อตัวขึ้นใหม่
แต่ในขณะเดียวกันอีก ด้านหนึ่งนั้น ก็มีความพยายามที่จะชูวาระเอาทักษิณหรือเอาทหารขึ้นมาตีคู่ขนาน ซึ่งกระแสนี้ ก็มีหลายพรรคที่พยายามจะผลักดันให้เป็นวาระชี้ขาดในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ถ้าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ยังเป็นวาระนี้อยู่ ก็อาจจะทำให้การเลือกตั้งไม่ตอบโจทย์การเมืองที่ล้มเหลว และไม่สามารถก้าวออกไปจากหลุมดำของความขัดแย้งแตกแยก จึงเป็นหน้าที่และโจทย์ของบรรดาพรรคการเมือง รวมทั้งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ให้การเลือกตั้งฝ่าข้ามกระแสทักษิณไปสู่กระแสการปฏิรูปประเทศที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งก็อาจจะยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการกอบกู้วิกฤตการณ์บ้านเมืองอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวังได้
ผมเห็นด้วยกับสุริยะใสว่า การเลือกตั้งต้องก้าวพ้น “ทักษิณ” ไปได้แล้ว เพราะโดยคุณสมบัติตามกฎหมาย ทักษิณมาเล่นการเมืองไม่ได้อีก ยังไม่รวมว่าเขาหนีไปจรจัดอยู่นอกประเทศ ไม่มาติดคุก ไม่มาสู้คดีที่ทยอยขึ้นศาลและออกหมายจับเขาอยู่ในเวลานี้อีกหลายคดี
บวกกับการที่ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” ติดคุกในคดีจำนำข้าว แต่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวทักษิณหนี ไปเสวยสุขอยู่กับพี่ พร้อมๆ กับวาทกรรมที่สื่อมวลชนคนรักทักษิณ อย่าง “จอม เพชรประดับ” เผยแพร่ว่า ทักษิณพูดว่า “ผมจะไม่ยอมให้น้องสาวของผมติดคุกแม้แต่วินาทีเดียว” บรรดาคนเสื้อแดงในคดีเผาศาลากลาง แกนนำ และคนอื่นๆ คง เหวอ” มิใช่น้อย เพราะทยอยติดคุก พ้นคุก กันออกมาเป็นลำดับ
นานวันเข้า พฤติกรรมและคำพูดของทักษิณ ทำให้ประชาชนที่เคยสนับสนุนเริ่ม “เห็นธาตุแท้” ของการเป็น “นักเอาตัวรอด” ของเขาชัดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมาเห็นการชิงอำนาจกันในพรรคเพื่อไทย ระหว่างสายวังบัวบานกับหญิงหน่อยด้วย ประชาชนคนเสื้อแดงและเครือข่ายที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ให้รู้สึกเคว้งคว้าง เพราะร้างจากการมี “ตัวแทน” และการเป็นปากเป็นเสียงแทนปัญหาของพวกเขา แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับปัญหาทางการเมือง และความมักใหญ่ใฝ่สูงในทางการเมืองของแต่ละคนแทน ดังนั้น นอกจาก “เสก โลโซ” แล้ว คนอื่นๆ ไม่ควรไปเสียเวลาตอบโต้ และให้ราคา ให้พื้นที่ข่าวแก่ทักษิณอีกเลย
แต่เรื่อง “การปฏิรูป” นั้น ฟังสุริยะใสแล้ว ผมก็กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เพราะจำได้เลาๆ ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้นำมวลมหาประชาชนเรียกร้องการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้น เคยออกมาแสดงทีท่าในตอนรณรงค์ให้รับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า “เห็นการปฏิรูปแล้วในรัฐธรรมนูญ”บวกกับว่า การปฏิรูปจะมีคณะกรรมการขับเคลื่อน ที่อย่างไรเสีย ใครมาเป็นรัฐบาลหลังจากนี้ ก็ไม่อาจหนีพ้น ที่จะต้องสานต่อแนวทางการปฏิรูปที่ “ค้างคา” หรือ “ไม่เคยคืบหน้าเลย” ในบางเรื่องนั้นอยู่แล้ว และก็นึกไม่ออกว่า พรรคการเมืองจะมาเสนอ “วิธีปฏิรูป” อย่างไรได้อีก เพราะดูเหมือนว่า คณะกรรมการปฏิรูปด้านต่างๆ เป็นคน “กำหนดวิธี”
ไม่อยากจะคิดว่า สุริยะใส “ชง” เรื่องนี้ เพื่อกรุยทางให้พลังรวมพลังประชาชาติไทย เปิดตัว “แผนการปฏิรูป” ขึ้นมาเป็นวาระหลัก เพื่อเป็น “ผู้กำหนดวาระ” แทน “ทักษิณ” และพรรคอนาคตใหม่ ที่กำหนดวาระเรื่อง “ไม่เอาเผด็จการทหาร” กับ “ฉีกรัฐธรรมนูญ” เป็นเรื่องหลัก
ผมคิดว่า วาระของการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนต้องเลือก “ตัวแทน”
ประชาชนต้องเข้าใจคำว่า “ตัวแทน” ที่พึงต้องมีทั้งความยึดโยงต่อพื้นที่ มีความรู้ และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ “ตัวแทนของราษฎร” อย่างเข้มข้น ไม่ใช่สาละวนอยู่กับปัญหาของตัวเอง ความต้องการของตัวอง ฝันค้างของตัวเอง “ตัวแทน” ที่ว่า จึงต้องอยู่ในพรรคที่มี “อุดมการณ์จริงจัง” ที่จะใช้กลไกรัฐสภามาแก้ปัญหาของประชาชน-ประเทศชาติ เติมโอกาส ตัดปัญหา นำพาผู้คนเผชิญกับวิกฤติของโลกาภิวัตน์ ทุนใหญ่ยึดครองระบบเศรษฐกิจ-สร้างความเหลื่อมล้ำ เอาไอที่จะมาแทนที่มนุษย์ในตลาดแรงงาน และสังคมสูงวัย ที่จะเล่นงานคนไทยอย่างหนักหน่วงใน 3-5 ปีข้างหน้า
เลยเวลาทำ “สงครามการเมือง” กันแล้วครับ
ช่วยกันกดดันและต้อน “ผู้เสนอตัวชิงอำนาจ” ทั้งหลาย ให้พูดถึงปัญหาของประชาชน ของประเทศชาติ และให้เขาประกาศ หรือแสดงวิสัยทัศน์แข่งกันได้แล้ว ว่าปัญหาราคาข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และพืชผลทางการเกษตรทั้งหลาย แต่ละพรรคจะแก้ไขอย่างไร นั่นรวมถึงปัญหาแรงงาน การศึกษา สิ่งแวดล้อม ที่ดินทำกิน สวัสดิการสังคม ฯลฯ ด้วย
ประชาชนจงนิ่งฟัง แล้วเลือกจากนโยบายที่ “เป็นไปได้และมีความรับผิดชอบ” นั้น
หยุดอารมณ์พวกเรา-พวกมัน
หยุดกีฬาสี แล้วเลือก “ตัวแทนไปแก้ปัญหา” ของเรา ไม่ใช่เลือกให้เขาไป “รบกัน” โดยที่พวกเรานั้น ได้แต่นั่งมองการชิงอำนาจกันตาปริบๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี