เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา เป็น “วันชาติ” ของสาธารณรัฐอินเดีย มหามิตรประเทศที่เก่าแก่ของราชอาณาจักรไทยที่มีมายาวนานนับพันๆ ปี ส่วนสัมพันธภาพทางด้านการทูตระหว่าง 2 ประเทศนั้นไทยกับอินเดียมีการลงนามสัมพันธไมตรีทางการทูตระหว่างกันเป็นระยะเวลากว่า 60 ปี นับตั้งแต่สมัยรัฐบาลของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เมื่อปี 2500 ซึ่งเป็นปีที่ไทยฉลอง 25 พุทธศตวรรษ โดยรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากเพราะเอเชียใต้โดยเฉพาะอินเดียกับเนปาลเป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถาน 4 ตำบลนั่นเอง
อินเดียหรือชมพูทวีปเป็นประเทศที่เคยมีความยิ่งใหญ่เก่าแก่และเป็นแหล่งอารยธรรมและศาสนาที่เก่าแก่หลายศาสนา ได้แก่ ฮินดู, เซน, ซิกข์และพุทธศาสนา ปัจจุบันสาธารณรัฐอินเดียได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกในฐานะที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก คือ 1,320 ล้านคน แต่ถ้าหากนับรวมอนุภูมิภาคเอเชียใต้ ซึ่งประกอบด้วย อินเดีย เนปาล ปากีสถาน บังกลาเทศภูฏาน ศรีลังกา มัลดิฟส์ และอัฟกานิสถาน แล้ว
จำนวนประชากรรวมของอนุภูมิภาคนี้จะมีมากถึง 1,600 ล้านคน เลยทีเดียว ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของโลก พอๆ กับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่อยู่ฝั่งตะวันออกของอินโดจีน และไทย เมื่อวันชาติของอินเดียเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของประเทศ ได้ประกาศความยิ่งใหญ่ของประเทศว่าพ้นจากยุคช้างหลับมาเป็นช้างตื่นแล้วถึงขั้นระบุว่าอินเดียจะเร่งพัฒนาความก้าวหน้าทางอวกาศเป็นประเทศที่ 4 ของโลกและชาติที่ 5
ต่อจากสหรัฐอเมริกา, สหพันธรัฐรัสเซีย, จีนและสหภาพอวกาศแห่งยุโรป ที่ประกอบด้วย สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี และอิตาลีซึ่งก็ไม่แปลกเพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์, วิทยาการและพลังอำนาจทางทหารของอินเดียนั้นไม่ได้เป็นที่ 2 รองใคร หรือว่าประเทศใดเลยถึงขั้นเทียบชั้นเป็นมหาอำนาจทางทหารของโลกโดยเฉพาะกำลังทหารของอินเดียมีจำนวนมากกว่าสหพันธรัฐรัสเซียเสียด้วยซ้ำไป
ราชอาณาจักรไทยนั้นเริ่มมีการติดต่อสัมพันธ์กับอินเดียหรือชมพูทวีปมานานถึง 2,200 กว่าปีสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์โมริยะ ซึ่งเป็นเชื้อสายจากชนชาติกรีซ ได้หันมานับถือพุทธศาสนาพระองค์เป็นพุทธมามะกะ ได้ส่งสมณทูตและกองเรือ 9 สาย ออกไปเผยแพร่ศาสนาพุทธและอารยธรรมอินเดียไปสู่ประเทศต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีหลักฐานระบุว่าพระโสณะและพระอุตระเป็นสมณทูตมาขึ้นบกที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ซึ่งต่อมาชาวอินเดียเป็นจำนวนมากได้เดินทางมาตั้งรกรากในไทยพร้อมๆ กับหมู่เกาะอินโดตะวันออก หรือ อีสต์อินดีส หรือ อินโดนีเซีย
ว่ากันว่าแผ่นดินไทยในยุคนั้นได้รับเอาอารยธรรมอินเดียเข้ามาผ่านทางราชอาณาจักรขอมโบราณมีการเผยแพร่ศาสนาอารยธรรมความเชื่อต่างๆ ของอินเดียซึ่งได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดู และพุทธศาสนาราชอาณาจักรโบราณที่มีมาก่อนชาวไทย ได้แก่ ชาวขอม, ละว้า, รามัญ, มอญ, พม่า, ลาวและชาวโยนก
อารยธรรมอินเดียที่ได้เผยแพร่มาสู่ประเทศไทยนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้มาผูกพันกับชาวไทยมาเป็นพันๆ ปีตั้งแต่ก่อนมีกรุงสุโขทัยเสียด้วยซ้ำไปความผูกพันระหว่างไทยกับอินเดียจึงมีมากมายพอๆ กับอารยธรรมของชาวจีนที่ไทยได้รับมาเช่นเดียวกัน
รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการติดต่อค้าขายกับประเทศอินเดียมาตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมาหลังอินเดียได้เป็นอิสระ หรือ อินดีเพนเด้นท์สเตรทจากสหราชอาณาจักร หรืออังกฤษ ในวันที่ 15 สิงหาคม 2490 หรือปี 1947 นายกรัฐมนตรีไทยนอกจากจอมพลแปลก พิบูลสงคราม แล้วก็มีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์, พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ, นายชวน หลีกภัย, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายทักษิณ ชินวัตร และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะนี้รัฐบาลไทยและนักธุรกิจชาวไทยต่างก็ได้ให้ความสำคัญในการติดต่อทางด้านธุรกิจกับชาวอินเดียเพิ่มมากขึ้นในขณะที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวอินเดียต่างก็ได้เดินทางผ่านเข้าออกประเทศกันอย่างคึกคักปีหนึ่งๆ นับสิบล้านคนเลยทีเดียว ชาวอินเดียที่มีฐานะดีมักนิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยทั้งที่กรุงเทพมหานคร, เกาะภูเก็ตและเมืองพัทยา
กล่าวได้ว่าอินเดียจะทวีความสำคัญกับประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆไม่แพ้จีนและเป็นมหามิตรสนิทสนมกับไทยในทุกๆ ด้านมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจการค้านั้นไทยกับประเทศในอนุภูมิภาคชมพูทวีปนอกจาก อินเดีย แล้วศรีลังกา, ปากีสถาน, บังกลาเทศ, ภูฏาน, มัลดีฟส์ ล้วนเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญมากกับเศรษฐกิจไทยอีกด้วย
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี