ในบทความครั้งก่อน คอลัมน์ “ปรีชา’ทัศน์” ได้กล่าวถึงพรรคการเมือง คือปัจจัยหลักของการพัฒนาการเมือง ซึ่งเป็นการกล่าวเชิงทฤษฎีและหลักการ แต่ในสภาพข้อเท็จจริงในสังคมไทย อาจไม่จริงเสมอไป พรรคการเมืองบางพรรคอาจเป็นปัจจัยนำไปสู่ความเสื่อมทรามทางการเมือง-เศรษฐกิจ และสังคม ดังที่ประจักษ์ ขณะเดียวกัน ระบบพรรคการเมืองไม่ว่าจะดี-ชั่วอย่างไร ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ยกระดับการต่อสู้แย่งชิงทางอำนาจ การเมือง เศรษฐกิจ ให้ก้าวล่วงจากระดับส่วนบุคคลไปสู่ระดับมวลชน (หรือชนชั้นต่างๆ) ในสังคม
สำหรับสังคมไทย ยังอาจไม่ชัดเจนมากนัก การเมืองยังคงเป็นเรื่องของตัวบุคคล ดังจะเห็นได้ชัดในกรณีของการรวมตัวของกลุ่ม “สามมิตร” ที่ตัวผู้นำคือปัจจัยหลัก หรือแกนนำในการจัดตั้งพรรคใหม่
ส่วนการรวมกลุ่มของ รปช. (รวมพลังประชาชาติไทย) หากพิจารณาจากจุดยืนของท่าน “กำนัน” สุเทพ จะเห็นได้ว่า รปช. มีฐานมาจากมวลชนนอกรัฐสภาสมัยที่ “พันธมิตร” ต่อสู้กับระบอบทักษิณ องค์ประกอบของกลุ่มผู้นำส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้นำทางสังคม รวมทั้งผู้ที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค (คนแรก) ก็คือ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มิใช่นักการเมือง ส่วนที่ปรึกษาใหญ่ก็คือผู้นำมวลชนต่อสู้กับระบอบทักษิณ ก่อนการยึดอำนาจโดย คสช. พ.ศ. 2557
พรรค รปช. จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ยังมิอาจชี้ชัดได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ หากการจัดการภายในทั้งด้านการเงินและการส่งตัวผู้สมัคร มีระบบที่ค่อนข้างยุติธรรม มีส่วนของความร่วมมือจากกลุ่มอาชีพต่างๆ และพลังทางสังคม และขณะเดียวกัน ผู้นำ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นตัวหัวหน้าพรรคเสมอไป มี “charisma” คือ มนต์เสน่ห์ ดึงดูดมวลชน เช่น อดีต “กำนัน” สุเทพ พรรคใหม่ที่จัดตั้งนอกสภาก็อาจมีอนาคต และเป็นปัจจัยตัวแปรที่สำคัญในรัฐสภาใหม่ก็เป็นได้
ฉะนั้น โดยหลักและประสบการณ์ที่บันทึกมาทางประวัติศาสตร์ ปัจจัยตัวแปรที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ ปัจจัยจากภายนอกระบบพรรคดังได้กล่าวมาแล้ว จุดเริ่มต้นของพรรคมักกำเนิดภายในรัฐสภา เช่น พรรคทอรี (อนุรักษ์นิยม) และพรรควิคส์ (เสรีนิยม) ของอังกฤษ แต่พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก เช่น ความเจริญเติบโตของชนชั้นกลางในเมืองอุตสาหกรรม เช่น เบอร์มิงแฮม และแมนเชสเตอร์ นำไปสู่ขบวนการต่อสู้เพื่อการค้าเสรี และการเมืองที่เสรี (Liberalism) จนกลายเป็นกลุ่มการเมือง (และพรรค) เสรีนิยม ขณะที่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต้นศตวรรษที่ 20 กรรมกรคือชนชั้นใหม่ ได้เกิดขบวนการตั้งสหภาพแรงงาน และขบวนการสังคมนิยม ที่จัดการศึกษาให้ชนชั้นกรรมกร (นอกห้องเรียน) โดยกลุ่มฟาเบียน นำไปสู่การจัดตั้งสหภาพแรงงาน และพรรคแรงงานในต้นศตวรรษที่ 20 มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรัฐสภาที่ระบบพรรคยึดโยงกับพลังใหม่ทางสังคม เศรษฐกิจ ตัวผู้เล่นการเมือง ก็มาจากชนชั้นใหม่ มิใช่จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นขุนนางและพรรคทอรี (Tory) ก็ปรับตัวเป็นพรรคคอนเซอร์วาตีฟ (อนุรักษ์นิยม) รวมทั้งปรับเป้าหมายของพรรคให้เข้ากับยุคสมัย ส่วนพรรควิคส์(ประกอบด้วยขุนนางที่มั่งคั่ง) ก็ปรับเป็นพรรคลิเบอรัล(เสรีนิยม) นำชนชั้นกลาง (พ่อค้า-นักอุตสาหกรรม) เข้ามาร่วม จึงดำรงสถานภาพของชนชั้นดั้งเดิมต่อไปได้ในสถานการณ์ใหม่
การปรับเปลี่ยนดังกล่าวนี้ ชาวอังกฤษ โดยเฉพาะนักคิดผู้เรืองนาม-เอ็ดมันส์เบิร์ก เรียกว่า การปรับเปลี่ยนจากภายใน (ระบบ) และชี้ชวนให้ชนชั้นขุนนาง (เก่า) ได้มองเห็นภยันตรายจากการที่ยืนหยัดอยู่กับที่ ไม่ยอมปรับตัวเอง เพราะการปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่จะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความมั่นคง-ยั่งยืน ของสถาบันดั้งเดิม และสรุปในเชิงคติธรรมว่า สถาบันทางสังคมใดไม่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย สถาบันนั้นจะถึงแก่อวสานในที่สุด ซึ่งเป็นคติประจำใจราชวงศ์และขุนนางอังกฤษมาตั้งแต่สมัยนั้นจนปัจจุบัน
ที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อชี้ชวนให้สถาบันพรรคการเมืองที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันที่เริ่มมีชั่วโมงบินยาวนาน พรรคที่เก่าแก่ที่สุดก็คือประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ เพราะสมาชิกพรรคเริ่มมาตั้งแต่สมัย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และนายควง อภัยวงศ์ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สมาชิกในเขตเลือกตั้งต่างๆ ใน กทม. ที่ลงเลือกตั้งวันนี้คือลูกหลานของท่านเหล่านั้น ผู้ก่อตั้งพรรค พรรคที่มีอุดมการณ์ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของสัจธรรมที่พิสูจน์ได้ทุกยุคทุกสมัย แต่กระนั้นก็คงจะต้องปรับตัวเองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี และที่สำคัญ สำหรับการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การพัฒนาให้สาขาพรรคมีอำนาจในการปกครองตนเองได้มากยิ่งขึ้น ในการระดมทรัพยากรบุคคลและปัจจัยการเงิน ตลอดจนการคัดเลือกผู้สมัคร สส. อีกทั้ง ระบบไพรมารี ที่ต้องพยายามพัฒนาให้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ควรทดลองในบางพื้นที่ ควรพิจารณาความเข้มแข็งและขวัญกำลังใจของสมาชิกในแต่ละพื้นที่เป็นเกณฑ์การตัดสินใจในการผ่องถ่ายอำนาจ
นอกจากการจัดองค์กรของพรรคในพื้นที่ให้เข้มแข็ง สามารถยืนหยัดบนลำแข้งของตนได้ “ระดับหนึ่ง” ประกอบด้วยจำนวนสมาชิกพอประมาณ การปรับนโยบายของพรรคก็สมควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง และสมาชิกพรรคควรจะต้องมีส่วนร่วม
อันที่จริง เมื่อพูดถึง “สมาชิกพรรค” บางครั้งก็พูดเป็นนามธรรม ในข้อเท็จจริง สมาชิกพรรค เริ่มจากบุคคลผู้เล่นบทบาทที่สำคัญในพรรค และผู้มีบทบาทชูโรงพรรค ก็ไม่มีใครเกินหน้า สส. ในรัฐสภา แต่แล้วบางครั้ง/บ่อยครั้ง การเมืองในระบบพรรค/รัฐสภาไทย ไม่ได้สร้างตัวละครใหม่ๆ หรือเปิดโอกาสให้นักการเมืองรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพดังที่ควรจะเป็น และศักยภาพที่สำคัญก็คือ ศักยภาพในการอภิปรายในสภา
นอกจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ซึ่งสมาชิกได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้มากกว่าปกติแล้ว ในโอกาสอื่นๆ แทบจะไม่มี ในแต่ละวาระ เช่น การอภิปรายงบประมาณ มีเวลาจำกัด บางครั้งสมาชิกอภิปรายได้คนละ 5-10 นาที ทั้งนี้ เพราะพรรคถือธรรมเนียมให้ทุกๆ คนได้พูดถึงงบประมาณ (เพื่อหาเสียงในเขตเลือกตั้งของตนเอง) หรือในโอกาสที่รัฐบาลแถลงนโยบาย สมาชิกฝ่ายค้านก็มักจะได้เวลาเพียง 5-10 นาที เท่านั้น เมื่อเวลาในการอภิปรายมีจำกัด ก็หมดโอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้โดดเด่นในการเป็นผู้นำในทางความคิด สมาชิกจึงแสวงหาความเด่นจากการตั้งกระทู้ เป็นต้น รัฐสภาไทยจึงกลายเป็นเวทีที่น่าเบื่อสำหรับปัญญาชน และสื่อมวลชน ที่น่าจะติดตามฟังการอภิปราย และได้เห็นดาวจรัสแสงในแต่ละยุคสมัย กลับเห็นแต่การด่าทอ และการเล่นเกมส์สกปรกกันอยู่ตลอดเวลา รัฐสภาไม่ได้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ของนักคิด นักปราชญ์ ที่จะฝากแนวคิดอันประเสริฐให้ไว้แก่ยุคสมัยของตน นี่ก็คือปัจจัยอ่อนด้อยของระบบรัฐสภาไทย ซึ่งไม่ชักนำไปสู่การสร้างผู้นำในเชิงความคิด ยกเว้นผู้นำเดิมๆ ในแต่ละพรรคซึ่งมีอภิสิทธิ์ในการยึดเวที ทั้งในสภา และเวทีนอกสภา (สนามหลวง) ได้อยู่แล้ว
การพัฒนาพรรค หมายรวมถึงการพัฒนาตัวผู้นำในหมู่นักการเมืองด้วย อีกทั้งระบบการศึกษาก็ไม่ได้ให้ความสนใจแก่กระบวนการอภิปรายในรัฐสภา ยกเว้นรายการสำคัญ เช่น การปฏิรูปการศึกษา ปี 2541-2542 ที่ชาวเสมาธรรมจักรต่างก็ใจจดใจจ่อเฝ้าฟังการอภิปรายในสภา
องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ คือ ปัจจัยตัวแปรที่จะมีส่วนการพัฒนาการเมืองและระบบพรรค
และที่สำคัญคือ การสร้างพันธมิตร กับขบวนการนอกรัฐสภา ที่ปฏิบัติตนภายใต้กฎหมาย พรรคการเมืองของไทยในอดีตที่ผ่านมามักระมัดระวังเรื่องนี้ เพราะขบวนการนอกรัฐสภาหมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการเดินขบวน ปัญหาคือเหตุใดความไม่พออกพอใจของผู้คนในสังคม จึงผันแปรมาเป็นการเดินขบวน สาเหตุมิใช่เพราะสังคมไทยและกฎหมายไทยไม่เปิดช่องให้สังคมจัดกิจกรรมทางสังคมและการเมืองได้ตามปกติเหมือนในสังคมอื่นๆ หรือ? ในสังคมตะวันตกการพูดถึงประเด็นการเมืองในทุกๆ วงการ ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ผู้ได้รับเชิญไปพูดโดยสมาคมต่างๆ ก็สามารถพูดได้หากไม่ไปกล่าวหาใครๆ ที่ขาดหลักฐาน และถูกฟ้องได้ในแต่ละกรณี การห้ามพูดถึงการเมืองในสมาคมต่างๆ คือการบั่นทอนการมีส่วนร่วมทางความคิดของผู้คน ทำให้การเมืองเป็นเรื่องห่างไกลจากประชาชน
ประการสุดท้าย หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งที่ใช้เป็นเครื่องวัดความเป็นสถาบันของพรรคการเมือง คือ การสืบทอดผู้นำ หากการสืบทอดผู้นำยังอยู่ภายในตระกูลเดียว (ตระกูลเดิม) โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นสถาบันของพรรคก็ยังไม่สมบูรณ์ ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำโดยระบบการเลือกตั้งภายในพรรค และเปลี่ยนจากการ “ผูกขาด” โดยตระกูลเดียว จึงจะถือว่าได้ก้าวข้ามการเป็นพรรคของครอบครัว เพื่อเป็นพรรคของมวลสมาชิกที่แท้จริง
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี