เหตุการณ์ “เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย” ซึ่งเป็นเขื่อนเพิ่งก่อสร้างใหม่เกิดแตกในส่วนของเขื่อนย่อย1 ใน 5 จุด ทำให้มวลน้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนผู้คนจำนวนมากในเมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ สปป.ลาวเมื่อค่ำวันที่ 23 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา และองค์การสหประชาชาติ (UN) รายงานว่ามีผู้ได้รับผลกระทบกว่าหมื่นชีวิต พร้อมๆ กับการสอบสวนหาสาเหตุของเขื่อนแตกรวมถึงการแจ้งเตือนภัยที่ล่าช้า สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยแล้วเรื่องนี้มีความสำคัญหลายประเด็น
อาทิ การส่งทีมกู้ภัยเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ซึ่งสื่อต่างประเทศนำเสนอข่าวด้วยความชื่นชม การที่หน่วยงานภาครัฐของไทยเร่งตรวจสอบเขื่อนสำคัญๆ ทั่วประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย สปป.ลาวรวมถึงเรื่องของ “ไฟฟ้า” ที่ไทยซื้อจากลาวไม่น้อยอีกทั้งมีบริษัทสัญชาติไทยเข้าไปลงทุนสร้างเขื่อนในลาว เหตุเขื่อนแตกจะทำให้รัฐบาลลาวทบทวนนโยบายการลงทุนในด้านพลังงานเพื่อขายให้ประเทศอื่นๆ หรือไม่? รวมถึงท่าทีของรัฐบาลลาวต่อคนไทยที่ต้องการเข้าไปช่วยเหลือก็ถูกตั้งคำถามเช่นกัน
ที่งานเสวนา “เขื่อนแตก เรื่องของลาว กับ เรื่องของเรา” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดิศร เสมแย้ม นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเรื่องประเทศลาว สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ กล่าวว่า นโยบายให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนด้านพลังงานใน สปป.ลาว เกิดขึ้นเมื่อราว 2 ทศวรรษก่อน รัฐบาลลาวตั้งเป้าให้ประเทศเป็น “แบตเตอรี่ของเอเชีย” (Battery of Asia) ส่งออกไฟฟ้าไปขายให้ประเทศอื่นๆ และเห็นผลชัดเจน เช่น ครึ่งปีแรกของปี 2561 ลาวมีรายได้จากการส่งออกไฟฟ้า ประมาณ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และลูกค้ารายสำคัญคือไทย
ดังนั้นแม้จะเกิดเหตุเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยแตกก็เชื่อว่า “ลาวจะไม่เปลี่ยนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ” ยังคงมุ่งหน้าทำเงินจากการขายไฟฟ้าเช่นเดิมเพราะเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ “แต่โครงการต่างๆหลังจากนี้คงมีกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบขึ้น”รวมถึงระบบการเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเหตุเขื่อนแตกครั้งนี้กระทบความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลลาวมากพอสมควร
อดิศร เล่าต่อไปว่า ด้วยความที่ สปป.ลาวมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้อุตสาหกรรมพลังงานเป็นตัวตั้ง ทำให้จากที่เคยพูดคุยกับชาวลาวเรื่องโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ทั้งเขื่อน ถนน สะพาน คำตอบที่ได้มักจะเป็นบวก “ชาวลาวเชื่อว่าโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” บางครั้งถึงขั้นไม่พอใจที่ชาวไทยคัดค้านโครงการในลาวเสียด้วยซ้ำไป เพราะมองว่าคนไทยอิจฉาคนลาวจึงต้องการขัดขวางการพัฒนาของลาว
แต่เชื่อว่าหลังเหตุการณ์เขื่อนแตกสังคมลาวน่าจะหันมาสนใจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น“อะไรที่มีมาตรฐานแล้วในไทย การไปลงทุนในประเทศอื่นควรใช้มาตรฐานนั้นด้วย” เช่น การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) การใช้มาตรฐานใกล้เคียงกันทั้งโครงการที่ทำในไทยและทำในประเทศอื่นๆ จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
ประเด็นต่อมา..มีการตั้งข้อสังเกตว่าทันทีหลังเกิดเหตุพบมีแพทย์ทหารของ จีน เดินทางเข้าประเทศลาวโดยง่าย ต่างจากทีมแพทย์และกู้ภัยของไทยที่เข้าไปไม่ได้ทั้งที่ไทยกับลาวพูดคุยกันไม่ต้องใช้ล่ามแปลภาษา เรื่องนี้ อดิศร อธิบายว่า จีนเข้าไปลงทุนสร้างเขื่อนในลาวไม่น้อย และความช่วยเหลือของจีนอาจแตกต่างจากชาติตะวันตก ลาวจึงเปิดให้จีนมากกว่า อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดทางการลาวก็ยอมให้ทีมงานจากไทยเข้าไปจนได้ ซึ่งจากที่เคยทำการศึกษามาพบว่าจุดเริ่มต้นที่ภาคประชาชนของทั้ง 2 ชาติ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
“ในลาวเดิมมีแม่น้ำเยอะ ก็มีเด็กข้ามเรือแล้วตกน้ำตาย มันเกิดความช่วยเหลือด้านกู้ภัยซึ่งเดิมลาวไม่ค่อยมี มันเริ่มเติบโตจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นถนน มีอุบัติเหตุต่างๆ ก็มีความเชื่อมโยงกับองค์กรของไทย เช่นฮุก (ฮุก31) ของนครราชสีมา หรือทางชลบุรีที่มีการฝึกดำน้ำ ฝึกกู้ภัยต่างๆ มันเริ่มพัฒนาจากการไทยเข้าไปช่วยอบรม เขาจะมีความสัมพันธ์เชิงพื้นฐานซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐเลย เป็นความสัมพันธ์พื้นฐานที่มีอยู่แล้ว ก็เลยเป็นเรื่องที่สนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่โดยพื้นฐาน” อดิศร ระบุ
อีกประเด็นหนึ่ง..นักวิจัยจากจุฬาฯ ผู้นี้ เห็นว่า“ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นความสำเร็จของกลุ่มประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน - ASEAN)” เพราะแม้จะมีความหลากหลายทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่เมื่อเกิดภัยพิบัติก็พร้อมจะระดมความช่วยเหลือทันที เช่น การบริจาคเงินและสิ่งของบรรเทาทุกข์ แม้จะมีความสับสนบ้างในช่วงแรกๆ แต่ก็เป็นเรื่องดี ดังนั้นน่าจะทำให้ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นในกรณีอื่นๆ ด้วย
ซึ่งความเห็นข้างต้นเกี่ยวกับอาเซียน ทำให้“ที่นี่แนวหน้า” นึกถึงสิ่งที่ ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) และอดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวไว้ในงานเสวนา“โลกาภิวัตน์ในชีวิตจริง” ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่าการเชื่อมโยงไทยกับเพื่อนบ้านนั้นสำคัญ เพราะ “ความสงบและเจริญอย่างยั่งยืนคงไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยคนเพียง 70 ล้านคนในชาติเดียว แต่ต้องเป็น 600 ล้านคนทั้งภูมิภาค” โครงการต่างๆ จึงควรเป็นไปด้วยความจริงใจต่อกัน
“สิ่งที่เราทำทั้งหมด ทั้งสร้างสะพาน สร้างถนน เชื่อมโยงไปถึงเวียดนามถึงพม่า (เมียนมา) สร้างเขื่อน สร้างโครงการทวาย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่ใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง ผมพยายามพูดหลายครั้งแล้วว่าเลิกใช้คำว่าประเทศพี่ประเทศน้องเสียที เขาไม่ชอบเพราะเขารู้ว่าพี่คือเราน้องคือเขา ฉะนั้นเราเป็นเพื่อนกัน เราเดินไปด้วยกัน” อดีตเลขาธิการการ UNCTAD ฝากข้อคิด
เรื่องที่ “ไทยมีศักยภาพในฐานะชาติผู้ให้” ได้รับการยืนยันจากผลการศึกษาโครงการพัฒนาชุดข้อมูลเพื่อติดตามและวัดผลการดำเนินการระดมทุนเพื่อการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ โดยความร่วมมือกันของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) กับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่เปิดเผยไปเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance : ODA) ซึ่งเป็นเงินที่ประเทศพัฒนาแล้วต้องลงขันกันช่วยประเทศกำลังพัฒนา จากในปี 2556 ที่ไทยบริจาค 2,448.33 ล้านบาท ได้เพิ่มขึ้นเป็น 7,104.20 บาท
ในปี 2560
นี่อาจเป็น “โอกาส” ของไทยในการแสดง “บทบาทนำ” ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวอาเซียน ไปสู่ความเจริญและผาสุกร่วมกันก็เป็นได้!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี