ถ้าจะพูดกันง่ายๆ สั้นๆ ไม่ต้องวิชาการนัก การเมืองก็คือการก้าวเข้าสู่อำนาจรัฐ และใช้อำนาจรัฐ พัฒนาบ้านเมืองและพสกนิกรของประเทศให้เจริญก้าวหน้า
ในระบอบราชาธิปไตย อำนาจเหล่านี้อยู่กับพระมหากษัตริย์ แต่ในระบอบประชาธิปไตย อำนาจนี้เปลี่ยนมาเป็นของประชาชน และมิได้มีแค่อำนาจบริหารประเทศอย่างเดียว แต่ยังมีทั้งอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ
การเข้าสู่อำนาจตุลาการ ก็มีขั้นตอนมากมาย ประดุจบันไดสิบหรือยี่สิบขั้น เพื่อสรรหา “มืออาชีพ” ในด้านนิติศาสตร์ที่มีประสบการณ์เป็นอย่างดี ผู้มีคุณธรรมและจริยธรรมอันสูงส่ง ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง และผู้ที่พร้อมจะรักษาความถูกต้องและความเป็นธรรมยิ่งกว่าชีวิต
การเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติ ผู้มีหน้าที่ออกกฎหมายในแขนงต่างๆ เพื่อจัดระเบียบทางการค้า อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ฯลฯ และมีหน้าที่อนุมัติงบประมาณแก่ผู้ใช้อำนาจอื่นๆ มีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ใช้อำนาจอื่นๆ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (Compliance) ตามระบอบประชาธิปไตย เราก็ใช้การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา โดยตรงจากประชาชนบ้าง จากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral body) บ้าง แล้วแต่รัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ ผู้ก้าวเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติ ก็กลายเป็น “ข้าราชการเมือง” ในห้วงเวลานั้นๆ
ส่วนการเข้าสู่อำนาจบริหาร แยกออกได้เป็น 2 กรณี
กรณีแรก เข้ามาแบบยึดถือเป็นอาชีพ เช่นเดียวกับการเข้าสู่อำนาจตุลาการ คือประชาชนคนใดอยากรับใช้บ้านเมืองในด้านความมั่นคง ก็ศึกษาเล่าเรียน และเข้าไปทำงานด้านความมั่นคง ประชาชนคนใดอยากรับใช้บ้านเมืองใดด้านเศรษฐกิจ ก็ไปศึกษาอาชีพ และเข้าไปทำงานด้านเศรษฐกิจ ด้านเกษตรก็เช่นเดียวกัน ด้านแรงงาน ด้านโทรคมนาคม ฯลฯ ก็เช่นเดียวกัน เป็นการเข้าสู่อำนาจบริหารแบบมืออาชีพ ได้แก่ข้าราชการประจำ และพนักงานของรัฐอื่นๆ
กรณีที่สอง การเข้าสู่อำนาจบริหารวิธีที่สอง เราเรียกกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 จนถึง พ.ศ.2561 ว่า เข้าสู่อำนาจบริหารด้วยวิธี “เล่นการเมือง” ซึ่งนับว่าเป็นคำที่ไม่ดีงาม
ในยุคปัจจุบันไป เพราะ ผู้เล่นการเมือง หรือ นักการเมือง มักจะคิดว่าการเมืองเป็นธุรกิจ จึงต้องเล่นการเมือง แบบ “ธุรกิจการเมือง” ก่อให้เกิด “การเมืองน้ำเน่า” การซื้อเสียงจากประชาชน การใช้เงินและตำแหน่งดูด สส. ด้วยกัน ให้มาเข้าพรรค และแพร่เชื้อคอร์รัปชั่น ให้ระบาดไปทั่วประเทศไทย
ความจริงนั้น การเข้าไปบริหารบ้านเมือง จำเป็นต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นเสียก่อน ได้แก่มี จิตสาธารณะ (Public mind) จิตอาสา (Voluntary mind) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตัว และประโยชน์ของพรรคและพวก
ไม่ว่า จะเป็นการเข้าสู่อำนาจบริหารแบบยึดถือเป็นอาชีพของกรณีแรก อันได้แก่ข้าราชการประจำ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเข้าสู่อำนาจบริหารตามกรณีที่สอง ที่เราเคยเรียกว่า เล่นการเมือง ผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจของรัฐ แทนปวงชนชาวไทย ก็จะต้องมีคุณสมบัติข้างต้น เป็นพื้นฐานเสียก่อน
เพราะการเมือง คือการเข้าสู่อำนาจรัฐ ใช้อำนาจรัฐ พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี หรือที่เราเรียกกันว่า การสร้างชาติ (Nation-Building) นั่นเอง ไม่ใช่การแย่งชิงกันเข้าสู่อำนาจ ด้วยวิธีการอันไม่ชอบธรรม อันแสดงผลให้เห็นชัดเจนแล้ว จากการใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบ Parliamentarian Democracy มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 โดยเฉพาะในช่วงหลังแห่งยุค นับตั้งแต่การมีประชาธิปไตยเต็มใบ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 จนถึง 2557 รวมระยะเวลาประมาณ 40 ปี เราก็มีการเมืองน้ำเน่า รัฐบาลน้ำเน่า ธุรกิจการเมือง คอร์รัปชั่นเฟื่องฟู ประเทศไทยเสียโอกาสไปเป็นอย่างมากในเวทีโลก จนเกือบจะเป็นประเทศล้าหลังอยู่ในภูมิภาคนี้ไปแล้ว
เราควรจะเลิก “เล่นการเมือง“ แต่ควรคิดเข้าไป “บริหารบ้านเมืองเพื่อสร้างชาติไทยให้เป็นอารยประเทศ” มากกว่า
คุณสมบัติประการที่สอง ของผู้ที่จะเข้าไปบริหารบ้านเมือง หรือเพื่อสร้างชาติไทยให้เจริญเท่าเทียมอารยประเทศ ก็ได้แก่ การมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เพียงพอ ที่จะเข้าไปสร้างชาติให้เจริญ และแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในโลกได้ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น โดยยังมิต้องเอ่ยถึงประเทศที่เกิดใหม่ในยุโรป เมื่อ 20 ปีมานี้เอง แต่ก็ก้าวไกลไปกว่าไทยเสียแล้ว ได้แก่ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย โครเอเชีย หรือสโลวีเนีย เป็นต้น
การบริหารบ้านเมือง หรือการสร้างชาติให้เจริญก้าวหน้าให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีหลายต่อหลายมุมที่จะต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ เพราะผู้เข้าไปบริหารบ้านเมือง จะต้องทราบถึง หรือมีคณะผู้บริหารมืออาชีพเป็นทีมเวิร์ก ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้ เช่น
1.ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ (Economic Strategies) เช่น เมื่อใดประเทศไทยจะพ้นกับดักรายได้ปานกลาง, เมื่อใดความแตกต่างของรายได้ระหว่าง 10% ของคนจนสุดจะไม่ควรต่างกับ 10% ของคนรวยสุด เกิน 30%, เมื่อใดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในไทยจะลดอันดับจากอันดับ 3 ของโลก (น่าอับอายไหม คนรวยเป็นกระจุก คนจนกระจายทั่ว คุกมีคนล้นเป็นอันดับต้นๆ ของโลก), เมื่อใดต้นทุนทางโลจิสติกส์จะลดลง เป็นต้น
2.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงภายใน และภายนอกของประเทศ (Strategies for national and international security) คนไทยทุกจังหวัด ควรจบการศึกษาระบบเดียวกับทั่วประเทศ หรือในอดีตพระมหากษัตริย์ผู้ใช้อำนาจบริหาร ทรงมีพระปรีชาสามารถในการสร้างดุลแห่งอำนาจ และรักษาอิสรภาพของไทยได้จนทุกวันนี้ เป็นต้น
3.ยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Strategies for Technological Change and Innovation) นโยบายส่งเสริมคนอพยพของสิงคโปร์, ปีนัง และซิลิคอนวัลเล่ย์, การส่งเสริมการผลิตนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร, การส่งเสริม Venture Capital และการจดทะเบียนสิทธิบัตร เป็นต้น
4.ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ และอุตสาหกรรม การสร้างชาติ (Strategies for Trade and Industries) นโยบายยกระดับฝีมือแรงงาน, การปฏิวัติเทคโนโลยีการผลิต, นโยบายระยะยาวต่อแรงงานต่างด้าว, การเปลี่ยนสู่ธุรกิจดิจิทัล เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังมียุทธศาสตร์อีกมากมาย เช่น ยุทธศาสตร์การสร้างคน, ยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาของประเทศ, ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในเวทีโลก, ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม และอีกนานัปการ
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า การบริหารบ้านเมืองเกินขอบเขตที่ “นักการเมือง” เดิมๆ จะเข้ามาทำธุรกิจการเมือง เช่นในอดีตแล้ว ปัจจุบันควรเป็นเรื่องของนักบริหารมืออาชีพแขนงต่างๆ ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ จะเข้ามารับผิดชอบพัฒนาบ้านเมือง หรือสร้างชาติไทยให้เป็นอารยประเทศ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี พ้นความยากจนเช่นเดียวกับ ชาวสิงคโปร์ ชาวไต้หวัน ชาวเกาหลี ชาวญี่ปุ่น ชาวมาเลเซีย และประเทศที่เกิดใหม่ในยุโรปอีกหลายประเทศ
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี