ลิ่วล้อระบอบทักษิณ บางส่วนยังพยายามจะไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ ชัดๆ ว่า โครงการจำนำข้าวผลาญเงินแผ่นดินไปมหาศาลขนาดไหน
ล่าสุด บางคน ถึงขนาดหยิบเอารายงานการเงินแผ่นดิน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2558 ที่ถูกนำเสนอในที่ประชุม สนช. เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ขึ้นมาแถ
ทำนองว่า ไม่มีการระบุถึงผลขาดทุน 536,908 ล้านบาท (ตามยอดที่ระบุในคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง คดีแดงที่ อม. 211/2560)
1. คุณสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ชี้แจงว่า ในรายงานดังกล่าว กรมบัญชีกลางรวบรวมข้อมูลที่มีสาระสำคัญเฉพาะสินทรัพย์และหนี้สินของรัฐบาลจากส่วนราชการที่ทำหน้าที่บริหารจัดการแทนรัฐบาล ได้แก่ ข้อมูลที่ดินราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ ข้อมูลเงินลงทุนจากสำนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้อมูลหนี้สาธารณะจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ตามลำดับ
“...สำหรับโครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการที่ใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินการไปก่อน แล้วรัฐบาลจึงตั้งงบประมาณชดใช้คืนเป็นรายปี จนกว่าจะครบวงเงิน ดังนั้น ธ.ก.ส.จึงเป็นผู้ทำบัญชีโครงการนี้ เพื่อแสดงต่อรัฐบาลประกอบการขอตั้งงบประมาณ ธ.ก.ส.จึงไม่ต้องส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลาง เนื่องจากเป็นรายการที่ไม่ต้องนำมาทำบัญชีในชุดรัฐบาล อย่างไรก็ตาม กรมบัญชีกลางจะรับรู้รายการนี้และลงบัญชีเฉพาะการจ่ายเงินงบประมาณใช้คืนให้ ธ.ก.ส.โดยลงบัญชีเป็นรายจ่ายตามงบประมาณตามปกติในปีที่ ธ.ก.ส.ได้รับการจัดสรรงบประมาณ...”
ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่ปรากฏรายการผลขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง 536,908.30 ล้านบาท ที่ดำเนินการโดย ธ.ก.ส. จึงไม่อยู่ในรายงานการเงินแผ่นดินที่กรมบัญชีกลางจัดทำสำหรับปีสิ้นสุด 30 กันยายน 2558 และ 2557
ชัดเจน กระจ่างแจ้ง ว่าทำไมไม่ปรากฏในรายงานการเงินแผ่นดิน ณ ปี 2558 และ 2557
เพราะรัฐบาล “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ใช้วิธีซิกแซ็ก ไปบีบเอาเงิน ธ.ก.ส.มาถลุงไปก่อน แล้วค่อยตามใช้หนี้ทีหลัง รัฐบาลต่อๆ มา
ก็จะต้องทยอยใช้หนี้จำนำข้าวทุกๆ ปี ใช้หมดเมื่อไหร่ ยอดรวมของหนี้มันจึงจะครบถ้วนในรายงานการเงินแผ่นดิน
ระหว่างนี้ ถ้าอยากรู้ว่าขาดทุนเท่าไหร่ ก็ไปตามดูตัวเลขจาก ธ.ก.ส.ก็ได้ ว่ายังมีหนี้ค้างชำระของโครงการจำนำข้าวอีกเท่าไหร่? ได้รับชำระจากรัฐบาลไปแล้วเท่าไหร่? ถ้านำไปหักลบจากยอดรวมเงินที่ได้จากการขายข้าว ก็จะได้ยอดขาดทุนสุทธิ ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทนะครับเจ้านาย
2. เพื่อให้ลิ่วล้อระบอบทักษิณได้ตาสว่าง... ขอเรียกร้องให้ ธ.ก.ส. และ สำนักบริหารหนี้สาธารณะ เร่งออกมาแจกแจงยอดหนี้ค้างชำระล่าสุด และหนี้สินทั้งหมดของโครงการจำนำข้าว
มิฉะนั้น ก็จะมีลิ่วล้อบางคนตีมึน แกล้งโง่ เดินหน้าปลุกระดม สร้างความเข้าใจผิด สร้างความสับสนต่อๆ ไป โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาปลดล็อกการเมือง
ข้อมูลที่ทราบมา ณ ต้นปี 2560 ในงบประมาณปี 2561 รัฐบาลก็เพิ่งจัดสรรเงินคืนให้ ธ.ก.ส. 75,000 ล้านบาท (ทุกโครงการที่ค้าง ธ.ก.ส.อยู่)
เฉพาะยอดหนี้โครงการจำนำข้าว ยอดรวมยังมีอยู่กว่า 389,000 ล้านบาท
นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการ สบน. เคยประเมินว่า น่าจะใช้หนี้จำนำข้าวก้อนมหึมาครบหมด ในระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี
ลองคิดดู ถ้าไม่มีภาระหนี้ก้อนมหึมานี้ ประเทศชาติจะสามารถนำเงินไปพัฒนา ลงทุน ช่วยเหลือประชาชนในเรื่องต่างๆ ได้มหาศาลแค่ไหน
3. ส่วนที่เป็นหนี้มหาศาลนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย เพราะใครๆ เขาก็อ่านออก มองเห็น ท้วงติง ตักเตือน และวิพากษ์วิจารณ์กันตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว
แต่ตอนนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพวกก็ไม่สนใจนำพา
คิดเอาแต่คะแนนนิยมทางการเมือง
แถมยังมีการทุจริตอยู่หลังม่านโครงการอย่างฉกาจฉกรรจ์อีกต่างหาก
ในคำพิพากษาคดีจำนำข้าว ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติว่า โครงการจำนำข้าวแม้คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประธานฯ ได้ออกมาตรการป้องกันการทุจริตแล้ว แต่ละขั้นตอนของการดำเนินการในฝ่ายปฏิบัติ ยังเกิดปัญหาการทุจริตทุกขั้นตอน ตามโครงการรับจำนำข้าวในอดีต ส่งผลให้กระทบต่องบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมาก
คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว สรุปภาระหนี้รวม 3 รอบบัญชี ได้แก่
หนึ่ง เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2555 ขาดทุน 3.2 หมื่นล้านบาทเศษ ใช้เงินไป 1.1 แสนล้านบาทเศษ ยอดหนี้คงค้าง 1.1 แสนล้านบาทเศษ
สอง เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2556 ขาดทุน 2.2 แสนล้านบาทเศษ ใช้เงินไป 5.9 แสนล้านบาทเศษ ยอดหนี้คงค้าง 4.4 แสนล้านบาทเศษ
สาม เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2557 ขาดทุน 3.2 แสนล้านบาทเศษ ใช้เงินไป 5.6 แสนล้านบาทเศษ ยอดหนี้คงค้าง 4.7 แสนล้านบาทเศษ
ขณะที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีที่มีนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ขณะเป็นปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2557 พบว่า โครงการรับจำนำข้าวมีการใช้เงินงบประมาณรวม 5 ฤดูกาลผลิต ทั้งสิ้น 8.7 แสนล้านบาทเศษ
เท่ากับว่า โครงการรับจำนำข้าวทั้ง 5 ฤดูกาล มียอดเกินกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นที่ 5 แสนล้านบาท (กระทรวงการคลัง 4.1 แสนล้านบาท และกู้ยืมเงิน ธ.ก.ส. โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน 9 หมื่นล้านบาท)
พบว่า เมื่อเดือน พ.ค. 2556 มีการใช้จ่ายเกินวงเงิน 5 แสนล้านบาท สูงถึง 6.1 หมื่นล้านบาท
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อสู้ว่า โครงการรับจำนำข้าวส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจ เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม มีรายได้เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการมีรายได้จัดตั้งธุรกิจ ภาครัฐจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ส่งผลให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.62-0.69 และจากผลโพลล์รวมถึงผลการวิจัยชี้ว่า ชาวนาชื่นชอบนโยบายนี้มากกว่า 80% ซึ่งมากกว่าโครงการรับประกันราคาสินค้าเกษตรก็ตาม ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นโยบายดังกล่าวขาดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล มีการทุจริตเกิดขึ้นในทุกขั้นตอน แม้ว่าบางขั้นตอนอยู่ในฝ่ายปฏิบัติ ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้กรอบวงเงินเกิน 5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง วงเงินไม่เพียงพอรับจำนำข้าวเปลือกตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และสำนักงบประมาณจัดสรรเพื่อชำระหนี้แก่ ธ.ก.ส. โดยไม่ต้องรอการระบายข้าว แต่สำนักงบประมาณไม่สามารถจัดสรรเงินให้ได้ เนื่องจากขัดรูปแบบการเงินของการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ
ยังไม่ต้องกล่าวถึงการทุจริตขายข้าวจีทูจีเก๊ ที่ยิ่งลักษณ์ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต จนเกิดความเสียหายบานทะโร่
4. นี่คือบทเรียนราคาแสนแพงของประเทศไทย
ประเทศชาติเสียหายย่อยยับ เงินที่ทุจริตโกงกินไป ได้มีการติดตามยึดอายัดกลับคืนมานับหมื่นล้านบาท แต่ในส่วนของ
นักการเมืองที่เกี่ยวข้องยึดได้น้อยมาก
ขณะที่ตัวการใหญ่ ยังลอยนวล ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ต่างประเทศ
ส่วนขี้ข้า ก็ยังพยายามบิดเบือน แถไถอย่างไม่ละอาย ส่งเสียงเพรียกหานโยบายโกงกันอีก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี