อาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่อื้อฉาว กระฉ่อนที่สุดในขณะนี้ คือ กลเกมฉ้อโกงเงินดิจิตอล
เป็นคดีความอยู่ รอให้คู่กรณีนำหลักฐานไปหักล้างกันต่อไป
สังคมพึงควรเรียนรู้ไว้เป็นอุทาหรณ์อย่างยิ่ง
1. นายอาร์นี ชาวฟินแลนด์ เข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบฯ ระบุว่า เมื่อประมาณเดือนมิ.ย.2560 ได้รู้จักกับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชอบลงทุนในสกุลเงินดิจิตอล จากนั้นก็ติดต่อเรื่องการลงทุนธุรกิจกันเรื่อยมา
จากนั้น ถูกชักชวนให้ลงทุนซื้อ-ขายเงินดิจิตอล “ดราก้อน คอยน์” (DRG)
อ้างว่าให้ซื้อหุ้นของบริษัท เอ็กซ์เปย์ ซอฟท์แวร์ จำกัด, NX Chain Inc. และหุ้นของบริษัทดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) อ้างว่า จะสามารถโกยผลตอบแทนมหาศาล
ผู้เสียหายหลงเชื่อ ตกลงร่วมลงทุน ได้ทำการโอนเหรียญบิตคอยน์ (สกุลเงินดิจิตอล) รวมจำนวน 5,564 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยราว 797,408,454 บาท ไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) ของกลุ่มผู้ต้องหาและพวก หลังจากนั้น กลุ่มผู้ต้องหาถอนเงินสกุลบิตคอยน์ไปขายแปลงเป็นเงินสกุลไทย แล้วโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารพาณิชย์ที่เปิดรองรับ ก่อนจะโอนเงินที่ได้มาแบ่งกัน บางส่วนนำไปซื้อขายแปลงสภาพทรัพย์สินเป็นที่ดิน ฯลฯ
ศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหากลุ่มแรก 3 คน ในฐานความผิดฟอกเงิน เอาเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงไปแปรสภาพ ซุกซ่อน ประกอบด้วย นายจิรัชพิสิษฐ์ (บูม จับได้คากองถ่าย), นายปริญญา จารวิจิต และน.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต (พี่ชายและพี่สาวของนายจิรัชพิสิษฐ์)
ล่าสุด กองปราบฯออกหมายเรียก อีก 8 ราย มาสอบปากคำ
กลุ่มแรก พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานเพียงพอ จะแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ จำนวน 5 คน ได้แก่ นายปริญญา จารวิจิต, นายธนสิทธิ์ จารวิจิต (น้องชายของนายปริญญา), นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต, นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ขาใหญ่ตลาดหุ้นเมืองไทย และนายชาคริส อาห์มัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เอ็กซ์เปย์ จำกัด กำหนดนัด 29 สิงหาคม
กลุ่มที่สอง จำนวน 3 คน ได้แก่ นัดมาสอบปากคำ ยังไม่แจ้งข้อหาใดๆ แต่พบร่องรอยเกี่ยวข้องกับเส้นทางเงินหรือทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหา ได้แก่ นางเลิศฉัตรกมล และนายสุวิทย์ จารวิจิตร (พ่อ-แม่ของนายปริญญา) นัดให้เข้ามาสอบปากคำในวันที่ 27 สิงหาคม และนายธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ “ผู้กองมนัส” ที่รับโอนหุ้นจากนายปริญญา นัด 28 สิงหาคม หากชี้แจงได้ก็จบ แต่ถ้าชี้แจงไม่ได้ก็อาจจะเข้าข่ายร่วมฟอกเงิน
ผู้ต้องหาทั้งหมด ยังมีสิทธิต่อสู้คดีต่อไป ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด
2. รายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติการณ์การโอนเงินกัน ที่สาธารณชนควรเรียนรู้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์
แฟนเพจ “Billionaire Mindset - แนวคิดพันล้าน” สรุปข้อมูลไว้น่าสนใจ บางตอนว่า
“...หลังจากคุยกันหลายครั้ง คุณอาร์นีจึงตัดสินใจลงทุนกับบริษัทซอฟต์แวร์แห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทนั้นเป็นของเพื่อนนายปริญญา มูลค่าเงินลงทุน 92 ล้านบาท
มาถึงขั้นตอนการโอนเงิน เนื่องจากการที่ต่างชาติจะขนเงินจำนวนมากข้ามประเทศมาลงทุน ย่อมมีขั้นตอนบางอย่าง และเพื่อทำให้กระชับฉับไว จึงตกลงกันว่าจะโอนให้เป็น “เหรียญบิตคอยน์” แทน ***ทำไมต้องเป็นเหรียญบิตคอยน์ เพราะการโอนเงินให้กันในลักษณะนี้ ไม่ต้องกังวลเรื่องกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศหรือข้อจำกัดทางกฎหมายต่างๆ จึงเป็นทั้งแง่ดีและข้อเสียในตัวมันเอง***
จุดนี้คือส่วนที่ดารา “บูม” เข้ามาเกี่ยวข้อง ตามข่าวระบุว่าเงินถูกโอนเข้ากระเป๋าเงินออนไลน์ของบูม งวดแรกจำนวน 1,259 เหรียญบิต (เทียบเท่ากับ 92 ล้านบาท ในขณะนั้น) นั่นคือครั้งที่หนึ่ง
ถัดมาในเดือนสิงหาคม นายปริญญาก็ชวนคุณอาร์นี มาลงทุนซื้อเหรียญดิจิตอล Dragon Coin ซึ่งระบุว่าเป็นเหรียญตัวใหม่ ที่จะใช้ในธุรกิจกาสิโนที่มาเก๊า
การลงทุนรอบนี้มีมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง โดยแบ่งผู้ถือหุ้นเป็น 4 คน ได้แก่ กลุ่มนายปริญญา 3 คนและคุณอาร์นี คนละ 100 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
คุณอาร์นีจึงโอนเงินรอบใหม่มูลค่า 2,958 เหรียญบิต (ประมาณ 440 ล้านบาท) นั่นคือครั้งที่สอง
หลังจากนั้น คุณอาร์นีถูกชักชวนลงทุนอีกรอบ คราวนี้เป็นการลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ที เอ็นจิเนียร์ริ่ง คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) ชื่อหุ้น T, บริษัท เวนเจอร์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชื่อหุ้น VI, บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ชื่อหุ้น DNA แน่นอนว่าการโอนเงินที่สะดวกที่สุดคือการโอนผ่านบิตคอยน์อีกนั่นเอง
ระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม 2017 คุณอาร์นีโอนเงินที่ตนเองเข้าใจว่าจะถูกนำไปซื้อหุ้นในชื่อของตน จำนวน 1,355 บิต (ประมาณ 264 ล้านบาท) นี่คือครั้งที่สาม
หลังจากลงทุนไปทั้ง 3 ครั้ง คุณอาร์นีพบว่าตนเองไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย ทั้งใบหุ้น หนังสือประชุมผู้ถือหุ้น หรือเงินปันผล อีกทั้งเงินลงทุนรอบสองที่บอกว่าจะใช้ในเงิน Dragon Coin ก็ไม่ได้ถูกนำไปลงทุนธุรกิจ เขาคิดว่าตนเองโดนหลอกเข้าแล้ว จึงเข้าแจ้งความ
แล้วเงินเหล่านั้นหายไปไหน!? จากการดูเส้นทางการเงินนั้นพบว่า เงินถูกทยอยถอนออกไปจากบัญชีบนโลกออนไลน์ และสุดท้ายถูกโอนเข้าไปในบัญชีธนาคารในประเทศไทย 7 คนรวม 12 บัญชี ได้แก่
นายปริญญา จารวิจิต 1 บัญชี
นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต 1 บัญชี
นางสาวสุพิชฌาย์ จารวิจิต 1 บัญชี
อีก 4 คนตำรวจยังไม่ได้ออกหมายจับ ผมจึงคิดว่าไม่เผยแพร่ชื่อในบทความนี้จะดีกว่า
นอกจากนี้ ยังพบว่านายปริญญา จารวิจิต มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ที เอ็นจิเนียร์ริ่ง คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) 150 ล้านหุ้น และบริษัท เวนเจอร์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 35 ล้านหุ้น ส่วนบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ไม่มีในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ และล่าสุดทางบริษัทที่สาม ได้ส่งหนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แล้วว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด...
...เหตุการณ์นี้จะจบลงอย่างไร เราคงต้องติดตามดูกันต่ออีกนานพอสมควรจนกว่าศาลจะตัดสินคดีเป็นที่สิ้นสุด
แต่เรื่องที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นข้อคิดของนักลงทุนทุกคน ทั้งในเรื่องของการตัดสินใจที่จะนำเงินที่เรามี ไปเลือกลงทุนในสิ่งหนึ่งสิ่งใด รวมถึงการไว้ใจลงทุนกับคนที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้วเขาอาจจะไม่ได้นำเงินนั้นไปใช้อย่างที่เคยพูดกับเราไว้ก็ได้ หวังว่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกคนนะครับ....”
3. ข้างต้นนั้น เป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อติดตามเรื่องราว แต่ในแง่ของคดีความ คงต้องมีการนำพยานลักฐานมาต่อสู้ หักล้างกันของแต่ละฝ่าย เพราะล่าสุด แม้แต่ในกลุ่มผู้ต้องหาด้วยกัน ก็ออกมาให้ข้อมูลซัดกันเองเสียแล้ว
เช่น
นายปริญญา ให้สัมภาษณ์ผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์จากประเทศสหรัฐ ซัดกลับนายอาร์นี หาว่าเป็นฝ่ายโลภ ไม่ทำตามสัญญาเอง เพราะอยากแยกวงออกไปร่วมธุรกิจออกสกุลเงินดิจิตอลกับนายประสิทธิ์ โดยนายอาร์นีอยากจะได้เงินบิตคอยน์ที่ลงทุนไปคืนโดยไม่ยอมไปรับเหรียญดราก้อนคอยน์ 12.5 ล้านเหรียญเอง
“รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง นายอาร์นีและแฟนสาวของนายอาร์นีมีความสนิทสนมอย่างมากกับผู้มีอิทธิพลเจ้าของบ่อนชื่อดังย่านฝั่งธน ถึงขั้นนำเงินหลายล้านบาทซื้อรถยนต์หรู 2 คันในครั้งเดียว ขณะนี้รถคันดังกล่าวก็อยู่ที่บ้านผู้มีอิทธิพล พร้อมมีคนมีสีระบุว่าหากอยากให้คดีจบให้ไปคุยกับผู้มีอิทธิพลคนดังกล่าว โดยผู้มีอิทธิพลคนดังกล่าวเรียกเงินผม 500 ล้านบาท เพื่อให้จบคดี” นายปริญญากล่าว
ด้านนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ขาใหญ่ตลาดหุ้น ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง โดยโอนหุ้นให้กับนายอาร์นี่ครบถ้วนแล้ว และได้ปรึกษา
“ผู้กองมนัส” โดยผู้กองมนัสให้นายปริญญาโอนหุ้น DNA มาไว้ในชื่อผู้กอง 400 กว่าล้านหุ้นเพื่อเป็นประกัน
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ “ผู้กองมนัส” ก็ปฏิเสธไม่เกี่ยวกับดราก้อนคอยน์ หรือการฉ้อโกงบิดคอยน์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ได้รับโอนหุ้นจากนายปริญญาจริง เพราะนายปริญญากับนายประสิทธิ์ ไม่ไว้ใจกัน จึงเป็นตัวกลางเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ ข้อจริงแท้แห่งคดีจะเป็นอย่างไร ยังต้องรอการพิสูจน์ แต่เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นสัจธรรมว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน – มิตรก็อาจกลายเป็นศัตรู-โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี