ก่อนอื่นต้องขออธิบายข้อที่มีหลายคนเข้าใจผิดว่า การตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) นั้นเป็นเพียงการสร้างภาพของรัฐบาลว่าจริงจังกับการต่อต้านการทุจริตเท่านั้น และรายชื่อคณะกรรมการที่มีนักวิชาการและตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคม ก็เพียงเพื่อดึงแนวร่วมไม่ให้หนีจากรัฐบาลไป
สำหรับผมที่ได้ร่วมเป็นกรรมการ คตช. มาตั้งแต่ชุดแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมบอกทุกคนมาตลอดและขอบอกอีกครั้งว่า การมี คตช. นั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย
คตช. เป็นคณะกรรมการเพื่อการต่อสู้กับคอร์รัปชันระดับชาติคณะแรกที่มีตัวแทนภาคประชาชน ภาควิชาการ และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ร่วมเป็นคณะกรรมการชุดเดียวกัน กรรมการกลุ่มนี้ได้เข้าไปร่วมคิด ร่วมเสนอมาตรการต่างๆ ตรงต่อผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐบาล คือนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งเป็นประธาน คตช. ด้วย จึงเห็นได้ว่า คตช. นี้มีปัจจัยที่จำเป็นในการผลักดันให้งานใหญ่ที่ยากๆ สำเร็จได้ครบทั้ง 3 ประการ นั่นคือ ความรู้ สังคมและอำนาจรัฐ ดังที่ศาสตราจารย์ นพ.ประเวศ วะสี เรียกว่า “3 เหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ซึ่งที่ผ่านมาความร่วมมือมักจำกัดอยู่เพียงระหว่างนักวิชาการกับองค์กรภาคประชาสังคมเท่านั้น การมีอำนาจรัฐเข้ามาร่วมด้วยในครั้งนี้จึงเป็นปรากฏการณ์สำคัญของประเทศไทยเลยทีเดียว
ความรู้ คือการรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์ความรู้ที่ตรงประเด็นในเรื่องคอร์รัปชันของประเทศไทย พร้อมหาสาเหตุ และวิธีแก้ไข ซึ่งในวันนี้เรามีอยู่พร้อมแล้วมากมาย
สังคม คือความตื่นรู้พร้อมลงมือสู้โกงของคนในสังคม ซึ่งวันนี้คนไทยมีความพร้อมมาก เห็นได้จากผลการสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันครั้งล่าสุด โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่พบว่าประชาชนทั่วประเทศ 98% รับไม่ได้แล้วกับรัฐบาลที่โกงกิน และ 87% ยินดีร่วมมือกับการต่อต้านคอร์รัปชัน
อำนาจรัฐ ในอดีตเราเคยมีผู้นำรัฐบาลที่ประกาศต่อสู้กับคอร์รัปชัน แต่สุดท้ายก็แก้ไขอะไรไม่ได้จริง บางทีก็เจอผู้นำรัฐบาลที่สั่งการทุกฝ่ายได้อย่างเด็ดขาด ทำงานเห็นผลรวดเร็ว แต่กลับใช้อำนาจเพื่อการทุจริตประพฤติมิชอบเสียเอง ในครั้งนี้เรามีผู้นำรัฐบาลที่จริงจังในการต่อสู้กับคอร์รัปชัน และเปิดกว้างให้กับความรู้และสังคม จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง
เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพโอกาสการสร้างความเปลี่ยนแปลงจริงเมื่อ 3 ปัจจัยนี้มารวมกันผมขอเล่าถึงเหตุการณ์วันแรกของการประชุม คตช. เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2558 ที่ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน คตช. ได้กล่าวกับคณะกรรมการว่า “ขอให้บอกมาว่าจะให้ผมสั่งการเรื่องอะไร อย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของประเทศเรา ไม่ต้องมาบรรยายถึงปัญหาและภัยจากการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศเราอีกต่อไป เพราะก็รู้ๆกันดีอยู่แล้ว” ดังนั้น เมื่อคุณประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)เสนอการใช้ระบบ ข้อตกลงคุณธรรม เพื่อส่งผู้สังเกตการณ์อิสระ เข้าไปดูแลการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ โดยในขั้นแรกเสนอให้ใช้กับโครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV ของ ขสมก. และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน นายกฯ จึงตอบทันทีว่า “จะเอาแค่ 2 โครงการหรือ ผมอยากให้ใช้กับโครงการอื่นๆ อีกมากกว่านี้เสนอมาเพิ่มอีกได้ไหม” พวกเราดีใจกันมากที่ข้อเสนอนี้ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี เพราะโครงการข้อตกลงคุณธรรมนี้ได้เคยเสนอในรัฐบาลก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่เมื่อเรื่องถึงขั้นเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วก็หายเงียบไป ไม่มีผลใดๆเกิดขึ้น เพียงแค่การเปิดรับฟังข้อเสนอและตัดสินใจนี้ ทำให้รัฐบาลสามารถประหยัดงบประมาณไปได้แล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท
ตัวอย่างผลงานเรื่องอื่นๆ ของ คตช. นั้นอาจจะไม่สามารถวัดผลสำเร็จเป็นตัวเงินได้ชัดเจน แต่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการวางรากฐาน ระบบป้องกันการคอร์รัปชันที่ยั่งยืน เพื่อลดโอกาสและปิดช่องทางที่รัฐบาลในอนาคตจะทำการทุจริตได้ง่ายเหมือนที่ผ่านมาและมีการเสริมสร้างพลังของภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง โดยการสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะได้อย่างสะดวกและรวดเร็วเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ผลงานอื่นๆ ของ คตช. ดูได้จากงานตามหน้าที่ของ คณะอนุกรรมการฯชุดต่างๆ เช่น คณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างการรับรู้ ที่มี รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ เป็นประธาน ได้นำเสนอโรดแมปการต่อต้านคอร์รัปชันด้านการปลูกจิตสำนึกและสร้างการรับรู้ ที่มีทิศทางยุทธศาสตร์สองด้านคือ ยุทธศาสตร์การศึกษา การขับเคลื่อนด้วยหลักสูตร “โตไปไม่โกง” และยุทธศาสตร์สื่อสู่สังคม การขับเคลื่อนด้วยการใช้สื่อรณรงค์ สร้างกระแส “คนไทยไม่โกง”
คณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการประชาสัมพันธ์ ที่มี รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เป็นประธาน ได้ขยายการรับรู้ เข้าใจ และตื่นตัวในมหันตภัยของการทุจริตคอร์รัปชันของทุกภาคส่วน
คณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการป้องกันการทุจริต ที่มี รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค เป็นประธาน และ มี รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ เป็นรองประธานได้รวบรวมและศึกษามาตรการป้องกันการทุจริตที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจาย เพื่อนำเสนอมาตรการที่เหมาะสมต่อรัฐบาล เช่น การเสนอให้รัฐบาลเข้าร่วมแนวทางการสร้างความโปร่งใสในด้านต่างๆ ตามมาตรฐานสากล เช่น โครงการเพื่อความโปร่งใสในภาคอุตสาหกรรมการสกัดทรัพยากร หรือ The Extractive Industries Transparency Initiative (EITI) เพื่อนำประเทศไทยเข้าสู่สากลในเรื่องความโปร่งใสทั้งเรื่องการจัดการทรัพยากร น้ำมัน ป่าไม้ เหมืองแร่, โครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ หรือ Construction Sector Transparency initiation (CoST) ที่กำหนดหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างภาครัฐอย่างเป็นระบบ, การเป็นภาคีสมาชิกความร่วมมือเพื่อเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership: OGP) ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 65 ประเทศทั่วโลกซึ่งจะทำให้ไทยได้รับความน่าเชื่อถือเรื่องของความโปร่งใสในการดำเนินกิจการต่างๆ โดยจะมีการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐใน 4 ด้าน คือ หนึ่ง ความโปร่งใสด้านการคลัง สอง การเข้าถึงข้อมูลของประชาชน สาม การเปิดเผยข้อมูลด้านรายได้และสินทรัพย์ของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และสี่ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และในส่วนการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภาครัฐ คณะอนุกรรมการชุดนี้ได้เสนอให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) สนับสนุนหน่วยงานของรัฐให้จัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะในรูปแบบ Open Data
ที่สำคัญที่สุดคือการเสนอให้การประมูลงานก่อสร้างของรัฐและรัฐวิสาหกิจ ตลอดจน อบต. อบจ. และเทศบาลใช้รหัสต้นทุนการก่อสร้าง หรือ Cost Code ตามมาตรฐานที่จัดทำขึ้นโดยวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ซึ่งจะทำให้รัฐสามารถรวบรวมราคาค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงในงานก่อสร้างจากทั่วประเทศ มาใช้คำนวณราคากลางที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดได้
ผลงานที่ผ่านมาของ คตช. ยังมีรายละเอียดอีกมาก จึงขอสรุปปิดท้ายอีกทีว่า การมีคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ คตช.นั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย โดยล่าสุดหลังจากที่มีการประกาศแต่งตั้งกรรมการ คตช. ชุดใหม่เมื่อคืนวันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561 ได้มีการเรียกประชุม คตช. ชุดใหม่นี้แล้วในวันจันทร์ที่ 3 กันยายนนี้ แล้วผมจะนำประเด็นสำคัญจากการประชุมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงกับสถานการณ์การคอร์รัปชันในประเทศไทยมาเขียนให้อ่านกันต่อไปนะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี