เพจ BioThai ของมูลนิธิชีววิถี เปิดเผยข้อมูลและข้อสังเกตว่า “...ทราบหรือไม่ว่าประเทศไทยอนุญาตให้มีการนำเข้าไกลโฟเซต สารเคมีกำจัดวัชพืชก่อมะเร็ง ซึ่งศาลสหรัฐเพิ่งตัดสินให้ บริษัท มอนซานโต้ ชดใช้ความเสียหายแก่นายดีเวย์น จอห์นสัน เกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท โดยไกลโฟเซตเป็นสารพิษที่ประเทศไทยนำเข้ามากที่สุด สูงถึง 59.85 ล้านกิโลกรัม หรือคิดเป็นสัดส่วน 30.27% ของการนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้งหมดในปี 2560
นอกเหนือจากนั้นประเทศไทยยังอนุญาตให้นำเข้าพาราควอต สารพิษซึ่งมีพิษเฉียบพลันสูงและก่อโรคพาร์กินสัน มากถึง 44.5 ล้านกิโลกรัม หรือคิดเป็นสัดส่วน 22.5% ของการนำเข้าสารเคมีทั้งหมด ทั้งๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้รัฐบาลแบนสารพิษนี้แล้ว ตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 ที่ผ่านมา โดยมีประเทศต่างๆ มากถึง 53 ประเทศที่แบนและประกาศแบนไปแล้ว ทั้งยุโรป จีน เวียดนาม กัมพูชา และลาว
สารพิษอีกชนิดคือคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงที่ Thai-PAN พบตกค้างมากที่สุดในผักและผลไม้ และศาลสหรัฐเพิ่งสั่งให้ EPA แบนภายใน 60 วันนั้น มีการนำเข้า 3.33 ล้านกิโลกรัม มากที่สุดในกลุ่มสารเคมีกำจัดแมลง สารพิษนี้ส่งผลกระทบต่อสมองทารกและเด็กอย่างถาวร กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอให้กรมวิชาการเกษตรไม่ต่อทะเบียน และเสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายแบน แต่กลับถูกเพิกเฉย”
ทว่า ภาคประชาชน กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายคุ้มครองสุขภาพไม่เพิกเฉย!!
มูลนิธิชีววิถี (BioThai) และเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช(Thai-PAN) เปิดเผยรายงานของคณะกรรมการวัตถุอันตรายซึ่งไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ชี้เป็นรายงานอัปลักษณ์ซึ่งนำไปสู่การลงมติอัปยศไม่แบนสารพิษร้ายแรงพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต
โดยที่สวนชีววิถี, ไทรม้า จ.นนทบุรี วันที่ 20 สิงหาคม 2561 นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BioThai) และนางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ได้ร่วมกันแถลงข่าวเพื่อเปิดเผยรายงานของ “อนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตราย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต” ซึ่งเป็นที่มาของการลงมติไม่แบนสารพิษที่มีความเสี่ยงสูงทั้ง 3 สารดังกล่าว เมื่อวันที่ 23พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ทั้งๆที่สารพิษกำจัดวัชพืชพาราควอต มีประเทศต่างยกเลิกการแบนแล้ว 51 ประเทศและเตรียมการแบนในปี 2020 อีก 2 ประเทศ คือ จีน และบราซิล เนื่องจากมีพิษเฉียบพลันสูง ไม่มียาถอนพิษ และก่อพาร์กินสัน
ในขณะที่คลอร์ไพริฟอสนั้นเป็นสารพิษที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กและทารก สารฆ่าแมลงชนิดนี้ศาลสหรัฐเพิ่งตัดสินไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา สั่งการให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (EPA) ดำเนินการแบนภายใน 60 วัน เช่นเดียวกับที่ไกลโฟเซต ซึ่งสถาบันมะเร็งนานาชาติ (IARC) ขององค์การอนามัยโลกประกาศให้เป็นสารน่าจะก่อมะเร็งนั้น ศาลสหรัฐเพิ่งตัดสินให้บริษัทมอนซานโต้ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีมูลค่าสูงเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาท
เขากล่าวว่า “หากอ่านเอกสารดังกล่าวโดยละเอียดจะพบว่ามีประเด็นความไม่ชอบมาพากล 11 ประการ ได้แก่ 1. จงใจเลือกข้อมูลมาสนับสนุนให้มีการใช้สารพิษต่อ 2. ซ่อนข้อมูลผลกระทบแบบเนียนๆ 3. โยนทิ้งงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ 4. บิดเบือนเหตุผลการเสนอแบน 5. แปรข้อมูลปิดบังความเสี่ยง 6. ปฏิเสธงานวิจัยใหม่ๆ 7. อ้างข้อสรุปปัญหาเล็กบิดบังปัญหาใหญ่ 8. เลือกใช้ข้อมูลจากบรรษัท 9.โยนบาปว่าเป็นความผิดของเกษตรกร 10. ละเลยไม่นำเสนอทางเลือกที่ดีกว่า และ 11. มีการลงมติชี้นำกรรมการวัตถุอันตราย ทั้งๆที่อนุกรรมการเหล่านี้มาจากฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการใช้สารพิษอันตรายมาตั้งแต่ต้น” นายวิฑูรย์กล่าว
ด้าน นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ กล่าวว่า “อนุกรรมการฯไม่นำประเด็นสาเหตุหลักของการแบนมาใส่ในรายงาน เช่น การที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมสหรัฐล่าสุดประกาศให้พาราควอต เป็นสารพิษที่มีพิษเฉียบพลันสูง แค่จิบเดียวก็ตายได้ และไม่มียาถอนพิษ ไม่ใส่งานวิจัยเป็นจำนวนมากที่พบว่า คลอร์ไพริฟอส ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองของทารกอย่างถาวร พยายามปิดกั้นการนำเสนอข้อมูลการพบการตกค้างของพาราควอตในขี้เทาทารกแรกเกิดของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยอ้างว่ายังไม่มีการตีพิมพ์ แต่กลับนำเอาข้อมูลซึ่งไม่มีการตีพิมพ์ของหน่วยงานที่สนับสนุนการใช้สารพิษต่อ เช่น ของบริษัทมอนซานโต้ สมาคมวิทยาการวัชพืช และบทความในวารสารการเกษตรที่มีรายได้สำคัญมาจากค่าโฆษณาขายสารเคมีมาใช้ในรายงานเป็นจำนวนมาก เป็นต้น”
“กระบวนการจัดทำรายงานฉบับนี้ จึงเป็นการศึกษาที่ไม่อาจยอมรับได้ โดยอนุกรรมการเฉพาะกิจซึ่งส่วนใหญ่มีแสดงจุดยืนสนับสนุนการใช้ ลงมติชี้นำให้มีการใช้สารพิษทั้งสามสารต่อ และต่อมาข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกใช้ไปเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายคณะใหญ่ และนำไปสู่การลงมติอัปยศ ให้มีการใช้สารพิษทั้ง 3 ชนิดต่อ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561” นางสาวปรกชลกล่าว
นายวิฑูรย์ สรุปว่า ปัญหาเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ทับซ้อนในกลไกตามกฎหมาย และปัญหาเชิงโครงสร้างของกฎหมายที่ให้อำนาจในการแบนหรือไม่แบนสารใดให้ขึ้นอยู่กับกระทรวงเกษตรเป็นหลัก ในขณะที่ควรจะอยู่กับหน่วยงานที่ดูแลสุขภาพมากกว่า ซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้ไขพ.ร.บ.วัตถุอันตรายดังกล่าว และออกแบบกฎหมายให้โปร่งใสที่ประชาชน มีส่วนร่วมและสามารถตรวจสอบได้ โดยพร้อมกันนี้ “มูลนิธิชีววิถี มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม กำลังดำเนินการฟ้องร้องคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อให้เพิกถอนมติให้มีการใช้สารพิษ เนื่องจากกระบวนการพิจารณาและศึกษาเป็นไปอย่างไม่โปร่งใส มีผลประโยชน์ทับซ้อน และอาจขัดต่อมาตรา 12 ในพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว”
“การแบนสารพิษร้ายแรงทั้ง 3 ชนิดจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน เราไม่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากการใช้อำนาจพิเศษ เพราะปัญหารากฐานของเรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งการตื่นขึ้นของเกษตรกรและผู้บริโภคจะเป็นผู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น”นายวิฑูรย์ กล่าว
อีกท่านหนึ่งที่ให้ความรู้ว่าสังคมต้องสร้างพลังปกป้อนตนเองจากสารพิษเหล่านี้ตลอดมา คือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คุณหมอธีระวัฒน์ท่านอยู่ในกรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วยครับ เมื่อเร็วๆนี้ท่านได้ย้ำว่า ที่ผ่านมามีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับผลทางด้านสุขภาพจากสารเคมีทั้งสามชนิด แต่คณะกรรมการวัตถุอันตรายกลับมีมติไม่แบนสารเคมีตามมติกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหมอ ตนบอกคนไข้เสมอว่า ไม่ให้กินอาหารที่มีไขมัน ให้กินผักผลไม้ที่มีกากใยอาหาร กินปลา แต่อาหารเหล่านี้ กลับพบว่ามีการปนเปื้อนของสารเคมี ซึ่งจะเป็นการผลักประชาชนไปสู่ความตายแบบผ่อนส่งหรือไม่ ที่ผ่านมาเห็นว่ามีการตั้งคณะกรรมการซ้อนกรรมการ และมีการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์โต้แย้งกัน แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางครั้งก็เชื่อถือไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่ เคยสร้างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ว่าไม่เป็นอันตรายโดยใช้ชื่อของนักวิทยาศาสตร์ ที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่อำมหิตมาก หากใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะไม่จบไม่สิ้น เพราะมีข้อมูลเท็จมาเรื่อยๆ ดังนั้น อยากให้คณะกรรมการชุดใหม่ใช้หลักฐานการเจ็บป่วยของประชาชนในการพิจารณา หรือจะต้องรอให้เอาศพ เอาเถ้าธุลีของประชาชนที่เสียชีวิตจากสารเคมีมาเป็นหลักฐานก่อน
ต่อมาในวันที่ 21 ส.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เสรี ตู้จินดา ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข เกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้สารเคมี 3 ชนิดคือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ว่า จากการหารือที่ประชุมมีมติไปในทิศทางเดียวกันคือให้แบนสารเคมี 3 ชนิด
จากนี้จะส่งรายงานการหารือให้กับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) รวมถึงรายงานต่อรมว.สาธารณสุขเพื่อพิจารณานำชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงให้ข้อมูลเหล่านี้ แก่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีการประชุมในวันที่ 22 ส.ค.นี้
อยากให้สังคมกังวล สนใจ และร่วมเรียกร้องให้ห้ามนำเข้าสารพิษเหล่านี้ ทีน้ำข้าวหมาก สาโท สุราพื้นบ้าน กีดกัน จับกุม ลงโทษ ราวกับเป็นสารพิษร้ายแรง นี่เป็นพิษเห็นๆ ทั้งในงานวิจัยและในชีวิตจริง ผู้เกี่ยวข้องและรัฐบาลจะเพิกเฉย ให้แผ่นดินไทย “อมสารพิษ”พวกนี้ไว้ฆ่าพวกเราผ่อนส่งอย่างอำมหิตต่อไป อย่างนั้นหรือ?!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี