ค่าภาคหลวง คือ ค่าสิทธิซึ่งกฎหมายกําหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ทําการหาประโยชน์จากทรัพยากรของชาติต้องชําระให้แก่รัฐ เช่น ค่าภาคหลวงแร่ ปิโตเลียมค่าภาคหลวงไม้หวงห้าม
ซึ่งค่าภาคหลวงนี้มีการจัดสรรปันส่วนเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งท่านผู้รู้ได้เขียนบทความส่งมาที่ผม ว่า น่าสนใจคือ เมื่อๆนี้ นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียมของประเทศในช่วงครึ่งปีแรกหรือตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปี 2561 ซึ่งประกอบด้วยค่าภาคหลวงปิโตรเลียม เงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ รายได้จากองค์กรร่วมไทยมาเลเซีย(JDA) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และรายได้อื่นๆ ได้แก่ค่าตอบแทนการต่อระยะเวลาผลิต ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 79,483 ล้านบาท
ทั้งนี้หากคิดเฉพาะค่าภาคหลวงปิโตรเลียม พบว่าครึ่งปีแรกของปีนี้ สามารถเก็บได้ 21,922 ล้านบาท โดยได้มีการนำส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน 20,843 ล้านบาท และอีก 1,079 ล้านบาทส่งให้องค์กรปกครองท้องถิ่น เพื่อนำไปพัฒนาชุมชน โดยการจัดสรรค่าภาคหลวงฯ จะอยู่ในส่วนที่เก็บได้จากแหล่งผลิตปิโตรเลียมบนบกเท่านั้น ส่วนค่าภาคหลวงฯ ที่ได้จากแหล่งปิโตรเลียมในทะเลจะถูกจัดส่งเป็นรายได้แผ่นดินทั้งหมด
มีประเด็นที่น่าสนใจกว่าเรื่องรายได้ อยู่ในประเด็นนี้นั่นคือ ข้อเสนอของกระทรวงพลังงานไปยังกระทรวงมหาดไทย เรื่องปรับปรุงการแบ่งรายได้จากค่าภาคหลวงฯ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้สอดคล้องแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน และให้เพื่อประชาชนในพื้นที่เห็นว่าได้รับผลโยชน์จากกิจการการผลิตปิโตรเลียม
ในอดีตที่ผ่านมากฎหมายกำหนดให้มีการจัดสรรค่าภาคหลวงให้ อบต. และเทศบาลในเขตพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมในอัตรา 20% ,ให้กับ อบจ. พื้นที่ผลิต 20% ,ให้แก่ อบต. และเทศบาลอื่นที่อยู่ในจังหวัดที่มีพื้นที่ครอบคลุมการผลิตปิโตรเลียม 10% ให้แก่ อบต. และเทศบาลทั่วประเทศ 10% (เพราะถือว่าทรัพยากรใต้แผ่นดินเป็นของคนไทยทั้งประเทศ) รวมเป็นสัดส่วนที่จัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งสิ้น 60% ของค่าภาคหลวงฯ บนบกทั้งหมด ส่วนที่เหลือ 40% จะนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน
แต่ข้อเสนอใหม่มีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ ให้เพิ่มพื้นที่ ที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานพลังงานตั้งอยู่ อาทิ ระบบท่อ ระบบคลังน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น ลดการจัดสรรค่าภาคหลวงฯ ที่ให้กับอบจ. จาก 20% เหลือ 10% และนำไปเพิ่มให้อบต. และเทศบาลในเขตพื้นที่การผลิตจาก 20% เป็น 30% ขณะทีสัดส่วนอื่นๆไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ประเด็นนี้ นายมนูญ ศิริวรรณ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ให้ความเห็นว่า ถือเป็นแนวทางที่ดีและสอดคล้องกับข้อเสนอปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน เพราะแนวทางนี้ จะทำให้ผลประโยชน์จากการพัฒนาไปตกอยู่กับประชาชนในพื้นที่ที่มีการผลิตปิโตรเลียมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งให้การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมได้รับการยอมรับจากชุมชนและคนในพื้นที่มากขึ้น ด้วยรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการได้ผลประโยชน์โดยตรง จากการนำทรัพยากรในพื้นที่ขึ้นมาใช้ประโยชน์
“ผมอยากเสนอให้กระทรวงพลังงานคุยกับกระทรวงมหาดไทย ให้มีการแยกตัวเลขเงินจัดสรรจากค่าภาคหลวงปิโตเลียมของแต่ละ อบต.เทศบาล ออกมาให้ชัดว่าได้รับจัดสรรจำนวนเท่าไร ประชาชนในพื้นที่จะได้เห็นชัดว่าชุมชนมีรายได้จากกิจกรรมผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่มากน้อยเพียงใด และขอเรียกร้องให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบและตั้งคำถามต่อท้องถิ่นของตัวเองว่า ได้ค่าภาคหลวงจากกิจการปิโตรเลียมจำนานเท่าไรและใช้เงินไปกับโครงการพัฒนาอะไรบ้าง เพื่อให้การใช้เงินตรงต่อความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง”
นับว่าน่าสนใจไม่น้อยกับข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ในการปรับปรุงโครงสร้างสัดส่วนการแบ่งปันรายได้จากค่าภาคหลวงปิโตรเลียมในครั้งนี้ เพราะนอกจากจะตอบโจทย์การปฏิรูปประเทศด้านพลังงานของคสช. ที่ต้องการให้มีการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ในอีกด้านหนึ่งนี่คือการตอบคำถามที่ตรงจุดกับสิ่งที่กลุ่มต่อต้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของประเทศ นำมาบิดเบือนอยู่เสมอ ด้วยวิธีการเดิมกับการลงพื้นที่รอบๆบ่อน้ำมันเพื่อถ่ายคลิปวีดีโอ สร้างประเด็นบิดเบือนว่าคนรอบๆบ่อน้ำมันไม่เคยได้ผลประโยชน์อะไรจากทรัพยากรในพื้นที่ของตัวเอง
หากกฎหมายนี้ผ่านการพิจารณาหลังจากนี้คงไม่มีประเด็นบิดเบือนที่ว่า เจ้าของพื้นที่ไม่ได้อะไรจากการผลิตปิโตรเลียมอีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี