ในปัจจุบัน
ตอนที่ 1
บทความนี้จะแบ่งเป็น ๔ หัวข้อหลัก เริ่มจากการแนะนำ“เค้าโครงการเศรษฐกิจ” แผนแม่บทการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกของประเทศไทย ที่เสนอแนวคิดรัฐสวัสดิการของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(อาจารย์ปรีดี พนมยงค์) รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรกหลังจากนั้นจะกล่าวถึง“คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง : จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตามด้วยการมองเค้าโครงการเศรษฐกิจและจากครรภ์มารดาฯ ในประเด็นที่เป็นประโยชน์และสามารถประยุกต์ใช้กับบริบทปัจจุบัน ในส่วนสุดท้ายจะเป็นการสรุปแนวคิดของอาจารย์ปรีดีและอาจารย์ป๋วย ที่สำคัญในการนำไปสู่ความสุขสมบูรณ์ของราษฎรและสันติประชาธรรม
๑. รู้จัก “เค้าโครงการเศรษฐกิจ”
แนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ ที่มีการอภิปรายในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากการอธิบายเนื้อหาในบทความ “คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”ของอาจารย์ป๋วยโดยไม่ได้มีการกล่าวถึงเค้าโครงการเศรษฐกิจ ที่อาจารย์ปรีดี เสนอในปีพ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกของประเทศไทยที่เสนอแนวคิดรัฐสวัสดิการและได้เสนอหลักการและร่างกฎหมายว่าด้วยการประกันสวัสดิการทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรม
การจะทำความเข้าใจเค้าโครงการเศรษฐกิจได้อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องเข้าใจบริบทของโลก และการหล่อหลอมแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของอาจารย์ปรีดี และบริบทของไทยในช่วงก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๖
บริบทของโลกในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๒๙- ๑๙๓๒(พ.ศ.๒๔๗๒-๒๔๗๕) เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เศรษฐกิจระบบเสรีนิยมในอังกฤษเริ่มมีปัญหา มีคนว่างงานจำนวนมาก ทำให้เริ่มมีแนวคิดที่รัฐต้องเข้ามาวางแผนเศรษฐกิจแทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมซึ่งเป็นกระแสหลักของโลก เช่นในกลุ่มสังคมนิยม (สหภาพโซเวียต) และกลุ่มฟาร์ซีสต์ (อิตาลี เยอรมัน ญี่ปุ่น) ที่เสนอให้รัฐเข้ามาจัดการเศรษฐกิจและในสมัยนั้นภาพของการที่รัฐจัดการเศรษฐกิจถูกมองเป็นภาพบวก ยังไม่มีใครเห็นผลเสียของการที่รัฐเข้ามาจัดการดังนั้น ในสมัยนั้นประเทศทั้งหลายต่างดำเนินนโยบายชาตินิยม พยายามพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจและคุ้มครองการค้า เช่น การตั้งกำแพงภาษี
ในช่วงที่ท่านอาจารย์ปรีดีศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๔๖๓—๒๔๖๙ได้รับอิทธิพลของ นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส “ชาร์ลส์ จี๊ด” ที่อธิบายแนวคิดภราดรภาพนิยมหรือลัทธิโซลิดาริสม์ (Solidarism)“มนุษยชาติต้องพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้นจึงจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในความลำบากของผู้อื่นด้วย ซึ่งการนี้เป็นมูลฐานแห่งความยุติธรรมของสังคม อย่างไรก็ตามโซลิดาริสม์แตกต่างไปจากลัทธิสังคมนิยม คือ มีการเคารพในกรรมสิทธิ์ของบุคคลและยอมรับให้มีมรดกตกทอดได้ ตลอดจนให้ความอิสระเสรีต่อบุคคลในการใช้จ่าย นอกจากนี้ลัทธิโซลิดาริสม์ยังยอมรับความไม่เสมอภาคในสังคม ให้คนที่อ่อนแอและแข็งแรงรับผิดชอบการดำเนินชีวิตร่วมกันโดยความสมัครใจภายใต้ระบบประกันสังคม เพื่อความมั่นคงแห่งสังคม”นอกจากนี้ “ชาร์ลส์ จี๊ด” ยังเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดสหกรณ์ “สหกรณ์สามารถตอบสนองความต้องการของตนด้วยวิธีการตนเอง คือ เป็นผู้ผลิตเอง พ่อค้าเอง นายธนาคารเอง เจ้าหนี้เอง และผู้ใช้แรงงานเอง” โดยมีความมุ่งหมายเพื่อล้มล้างกำไร กล่าวคือสหกรณ์จะส่งคืนกำไรให้แก่สมาชิกตามที่มีส่วนร่วม และระบบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ยังสามารถดูแลการกระจายรายได้ให้เกิดความยุติธรรมยิ่งกว่าเครื่องมือทางกฎหมายซึ่งจะเห็นแนวคิดเหล่านี้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจ
สำหรับบริบทของไทยในช่วงก่อนปี ๒๔๗๖อาชีพหลักของคนไทยคือชาวนา(ประมาณร้อยละ๘๐ของประชากรทั้งประเทศ) รองลงมาคือข้าราชการ สินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ ข้าว (คิดเป็นร้อยละ ๖๐-๗๐) ดีบุก ยางพารา และไม้สักการค้าอยู่ในมือของต่างชาติโดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีน ชาวนาในช่วงนั้นมีความเป็นอยู่ลำบาก จากการค้าข้าวผ่านคนกลาง โอกาสการเป็นเจ้าของที่ดินมีน้อย ชาวนายังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีในการผลิต เสียค่าเช่านา ถูกเก็บภาษีโค กระบือ และภาษีรัชชูปการที่ไม่เป็นธรรมรวมทั้งมีปัญหาชลประทานฝนแล้งและน้ำท่วม ในช่วงนั้นรัฐให้บริษัทเอกชนคือ บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขุนนางร่วมทุนกับต่างชาติได้สัมปทานขุดคลองทั่วประเทศ แต่การขุดคลองไม่มีประสิทธิภาพนอกจากนี้บริษัทยังได้สัมปทานขยายที่ดินสองฝั่งคลอง ทำให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้น โอกาสที่ชาวนาจะเป็นเจ้าของที่ดินยิ่งน้อยเข้าไปอีก
จากการที่อาจารย์ปรีดีมีบิดาเป็นชาวนา ได้มีโอกาสสัมผัสและรับรู้สภาพของชาวนาไทยตั้งแต่เยาว์วัย จึงได้รับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของชาวนา ประกอบกับในขณะที่ศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ได้รับอิทธิพลจาก “ชาร์ลส์ จี๊ด” จึงได้ตกผลึกในความคิดว่า ปัญหาของประเทศไทยในขณะนั้นอยู่ที่เศรษฐกิจราษฎรในพื้นที่ชนบท การที่จะได้มาซึ่งประชาธิปไตยทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จึงต้องเริ่มจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความยากจนของชาวชนบท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาและจากการที่บริบทในช่วงนั้น ราษฎรอ่อนแอ เนื่องจาก มีความเป็นอยู่ลำบากแร้นแค้น ขาดที่ดิน เงินทุน เทคโนโลยีลำพังชาวนาแต่ละบุคคลแต่ละครอบครัวจึงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้วิธีการแก้ไขปัญหาจึงต้องสนับสนุนให้ราษฎรที่เป็นชาวนายากจนรวมตัวกันเป็น “สหกรณ์”โดยสมาชิกสหกรณ์จะร่วมกันผลิต จัดการด้านตลาด และร่วมกันบริโภค
จะเห็นได้ว่าบริบทสมัยนั้น ราษฎรอ่อนแอ และการค้าตกอยู่ในมือต่างชาติ แนวทางเดียวที่จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ให้ราษฎรคือรัฐบาลจะต้องมีบทบาทในการจัดการเศรษฐกิจใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ (1) รัฐจะต้องรับผิดชอบจัดการเศรษฐกิจอันเป็นส่วนรวมระดับชาติ โดยวางหลักการที่จะประกันสวัสดิภาพและสวัสดิการของราษฎร ตลอดจนความเสมอภาค โดยมิให้มีการเอารัดเอาเปรียบกัน รักษาเสถียรภาพการเงินการคลังของประเทศและพยายามพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ และ(2) ให้ความสนับสนุนต่อสหกรณ์ในด้านปัจจัยต่างๆที่จำเป็น รวมถึงที่ดิน เงินทุนและเทคโนโลยี ตลอดจนกิจการสาธารณูปการและสาธารณูปโภคเพื่อช่วยเหลือราษฎรส่วนใหญ่ที่ยากจนและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
อาจารย์ปรีดีจึงได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ให้รัฐบาลเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจที่อาศัยหลักวิชา แผน และโครงการโดยแบ่งการเศรษฐกิจออกเป็นสหกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ราษฎรมีความสุขสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจตามหลักเอกราชทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นหนึ่งในหลัก ๖ ประการ ซึ่งเขียนไว้ใน “หมวดที่ ๑ ประกาศของคณะราษฎร” ของเค้าโครงการเศรษฐกิจ“จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก”การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ เป็นการนำแนวคิดที่ดีของลัทธิเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งเสรีนิยม และสังคมนิยมเข้ามาปรับปรุงมาเป็นเค้าโครงทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ในการอ่านเค้าโครงการเศรษฐกิจจำเป็นต้องเข้าใจบริบทที่อาจารย์ปรีดีขณะเขียนเค้าโครงการเศรษฐกิจมีอายุเพียง ๓๒ ปี และเขียนด้วยความรีบเร่ง เนื่องจากจะต้องรีบร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ เสนอรัฐบาลตามที่ได้แถลงต่อราษฎรไว้ในประกาศของคณะราษฎร โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้มีการพิจารณาในหลักวิชา “อะไรดีก็รับไว้ อะไรมีเหตุผลควรปฏิเสธก็เลิกไปได้” แล้วจึงค่อยมาคิดรายละเอียดในภายหลัง โดยหากมีการรับร่างเค้าโครงในหลักการแล้วจะตั้งคณะกรรมการ นักวิชาการ ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศมาช่วยกันทำมาร่วมพิจารณาในรายละเอียดต่อไป การเขียนเค้าโครงด้วยความรีบเร่ง ทำให้อาจารย์ปรีดี ยังไม่ได้ตกผลึกในความคิดในเรื่องบทบาทของรัฐในการจัดการเศรษฐกิจ และไม่ได้มีการพิจารณาถ้อยคำที่ใช้อย่างรอบคอบ มีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือมีการใช้ถ้อยคำบางคำไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงนำไปสู่การเข้าใจผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยคำที่ “รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ประกอบการหรือผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง”แทนที่จะใช้ถ้อยคำ“รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบดูแลการเศรษฐกิจ”
ผศ.ดร.อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี