วอยซ์ทีวีถอดความบทสัมภาษณ์ของเว็บไซต์เอเชียไทมส์ ที่เพิ่งเผยแพร่บทสัมภาษณ์พิเศษ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น ตั้งแต่เรื่องจุดยืนของพรรคในเรื่องรัฐประหาร ความเห็นต่อการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และโอกาสในการทำงานกับพรรคการเมืองอื่นๆ
ก่อนจะอ่านบทสัมภาษณ์นี้นั้น ขอให้ทุกคนวางความรู้สึกต่างๆ ที่มีต่อตัวคนและตัวเองลงก่อน เพราะหลายปีที่ผ่านมา การ “คิด” บนความเป็น “ขั้ว-ข้าง” ทำให้สมาชิกในสังคมไทยของเรา “อับปัญญา” ลงมาก เพราะไม่สามารถมองข้ามพรรคพวก สี ข้าง ฝักฝ่าย และคนที่ตนรักตนชัง ไปสู่ “ปัญญาที่แท้จริง” ได้
นายอภิสิทธิ์บอกกับเอเชียไทมส์ว่า เขาไม่ได้มีความตั้งใจจะนำทหารเข้าสู่การเมือง และว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาทหารได้ขอร้องให้เขาลดการวิพากษ์วิจารณ์ลงตลอดเวลา ในส่วนของพรรคเอง นสพ.ก็รายงานว่า ต้องรับมือกับความขัดแย้งภายใน ระหว่างคนที่ไม่เห็นด้วยและเห็นด้วยกับการเข้ามาคุมอำนาจของทหาร
ผมขอขัดจังหวะ ขอคุยเรื่องนี้สักหน่อยครับ ผมว่าประเด็นนี้คือ “อคติ” ที่เกิดขึ้นมาตลอด มีการผลิตความคิดนี้และทำซ้ำจนผู้คนคล้อยตามกันไปหมดว่า ทหารออกมาด้วยเหตุผลของขั้วข้างทางการเมือง จนไม่ได้พินิจพิจารณาว่าสาเหตุมาจากการใช้เสียงข้างมากในสภาอย่างเลวทราม จนประชาชนลุกฮือ อคติหรือการเชื่อในมุมมองว่า มีการเมืองไปลากทหารออกมาเพื่อเล่นงานอีกฝ่าย ทำให้เราไม่เห็นความจริงของ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ในสภา แล้วแบ่งแยกหรือมองโลกอย่างหยาบๆ ว่า ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ที่จะเป็นประชาธิปไตย โดยไม่ได้สนใจ “วิธีการใช้อำนาจ” ของคณะบุคคลที่มาจากการเลือกตั้ง พร้อมๆ กับการ “ไม่ให้ค่า” ซ้ำยังชิงชังการ “ตรวจสอบและถ่วงดุล” ไม่ว่าจะในหรือนอกสภาไปด้วยโดยปริยาย แล้วไพล่ไปมองว่า เป็นการโค่นล้มอำนาจฝ่ายประชาธิปไตยเสียดื้อๆ
มาดูกันต่อครับ, เอเชียไทมส์ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ แสดงความวิตกด้วยว่ าคสช.จะทำตามสัญญาในเรื่องให้เลือกตั้งจริงหรือไม่ ในขณะที่อีกด้านก็ห่วงด้วยว่า หากมีการเลือกตั้งจริง การเลือกตั้งนั้นจะบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ ในเมื่อทหารลงไปแข่งขันเสียเอง แทนที่จะทำหน้าที่เป็นกรรมการในการแข่งขัน
เมื่อขอให้ประเมิน คสช. หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า ประชาชนทั่วไปให้คะแนน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำให้บ้านเมืองมีขื่อมีแปและสงบลงได้ ในขณะเดียวกันประชาชนก็หวังด้วยว่า ถ้าจะต้องชะลอประชาธิปไตยไว้ชั่วคราว ก็จะมีการปรับปรุงระบบจนกระทั่งไทยมีพื้นฐานที่ดีมากขึ้น แต่สี่ปีที่ผ่านมานี้ น้อยคนนักที่จะเชื่อว่าระบบได้รับการปรับปรุงแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องของการวางระบบจัดการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม อภิสิทธิ์ระบุว่าแม้ผู้คนทั่วไปไม่พอใจกับผลงานของรัฐบาล แต่คนบางส่วนชอบ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งอาจเป็นเพราะท่วงทำนองของเขา หรือไม่อีกทีก็เพราะการที่ พล.อ.ประยุทธ์มักจะมีวิธีลดความน่าเชื่อถือของนักการเมืองลง เขาบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์มีฐานสนับสนุนส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มคนที่ไม่ชอบนักการเมือง ในขณะที่พวกสนับสนุนประชานิยมและเผด็จการมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือ “พวกเขาไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นนักการเมือง”
ในประเด็นเส้นทางการแข่งขันของพรรคการเมืองกับปรากฏการณ์การ “ดูด” อดีต สส.นั้น มีการพาดพิงถึงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า จนถึงขณะนี้พรรคพลังประชารัฐยังไม่ประสบความสำเร็จในการดึงอดีต สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะที่ชนะการเลือกตั้งหนหลังสุด แต่แน่ใจว่าพวกเขาคงพยายามต่อไป อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า ปัญหาไม่ใช่เรื่องว่าพรรคจะเสียคนของพรรคไปหรือไม่
เรื่องดังกล่าวกลายเป็นสิ่งสนับสนุนความเชื่อของคนทั่วไปในเวลานี้ ว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างคนกลุ่มต่างๆ โดยที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม ซึ่งเขาเห็นว่า ถ้าจะนำประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องฟื้นฟูความศรัทธาในระบบ การกลับไปใช้วิธีการแบบเดิมๆ ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น
อภิสิทธิ์บอกว่า เขาเชื่อว่าคนไทยคงจะมองออกว่า หนทางแบบอนุรักษ์ แบบที่ยึดติดกลไกแบบราชการ และการรวบอำนาจชนิดที่ คสช.ทำนั้น ไม่ใช่หนทางที่จะเป็นอนาคตของพวกเขาได้ วิธีการเหล่านั้น ปรากฏให้เห็นในการรับมือเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งการที่ประชาชนอึดอัดใจกับการมีข้อจำกัดทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ เขาไม่เชื่อว่ากลุ่มการเมืองใหม่จะดึงคะแนนได้ แม้ว่าขณะนี้จะดูดคนไปไว้ในกลุ่มได้ก็ตาม เขาเชื่อว่า คนจะมองเห็นว่าพรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นมาจากบารมีผู้มีอำนาจในเวลานี้ ที่จริงแล้วเป็นกลุ่มที่อนุรักษ์ รวบอำนาจ มีท่วงทำนองอิงกลไกระบบราชการ
มองต่อไปถึงพรรคเพื่อไทย อภิสิทธิ์ชี้ว่า พรรคเพื่อไทยยังได้รับความนิยมในหลายส่วน มีประวัติการทำงานด้านเศรษฐกิจดี แต่ในสายตาหลายคน พรรคนี้มีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และมีแนวทางบางอย่างที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไม่ออกจากร่มเงาของตระกูลชินวัตร ส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีฐานเสียงที่ชัดเจน สิ่งที่ต้องทำคือยื่นมือออกไปหาคนที่กลางๆ และคนรุ่นใหม่
“ส่วนหนึ่งของปัญหาของเราตอนนี้คือ การต่อสู้ของเรากับพรรคของทักษิณที่ผ่านมา ทำให้เราดำเนินบทบาทที่แตกต่างออกไป ซึ่งผมไม่คิดว่านั่นมันสะท้อนคุณค่าที่แท้จริงของเรา ผมหวังว่าคนจะมองเห็นเราชัดเจนมากขึ้น ว่าที่จริงเรามาจากขนบเสรีประชาธิปไตย”
กับคำถามว่าเขามองว่าการเลือกตั้งหนนี้จะทำให้คนไทยก้าวข้ามความขัดแย้งระหว่างคนที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนทหารได้หรือไม่ อภิสิทธิ์บอกว่า เขาก็หวังเช่นนั้น รวมทั้งหวังว่าจะทำให้คนไทยก้าวข้ามการเมืองแบบตัวบุคคลหรือกลุ่มด้วยเช่นคนที่สนับสนุนหรือต่อต้านทักษิณ เขาบอกว่าอยากให้คนไทยมองการเลือกตั้งหนนี้เป็นโอกาสที่จะออกจากกรอบเช่นว่าแล้วพาประเทศไปข้างหน้า “เราจะเป็นทางเลือกจากเพื่อไทยและทหาร”
เขายันยันว่า ประชาธิปัตย์แตกต่างจากกลุ่มการเมืองที่ทหารสนับสนุนเพราะประชาธิปัตย์เชื่อในประชาธิปไตย การกระจายอำนาจ และการมีพลวัตใหม่โดยเฉพาะในการจัดการกับเศรษฐกิจ เพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจในปัจจุบันสร้างความเหลื่อมล้ำสูงมาก และปัญหานี้จะไม่หมดไปถ้ายังใช้วิธีการแบบเดิมๆ ตัวอย่างสำคัญก็คือการที่รัฐบาลพอใจกับตัวเลขอัตราการเติบโตของผลผลิตมวลรวมประชาชาติหรือจีดีพีว่าของปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4 แต่ตัวเลขนี้ไม่มีความหมายต่อประชาชนส่วนใหญ่ เพราะผลพวงจากความเหลื่อมล้ำซึ่งเขาระบุว่าขยายตัวเรื่อยมารวมทั้งในช่วงที่มีการยึดอำนาจ และเพราะผลกระทบอย่างหนักในช่วงของการยกเลิกนโยบายจำนำข้าว ซึ่งเขาบอกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ยกเลิก แต่ที่ไม่สมเหตุสมผลก็คือ ไม่มีทางเลือกอื่นมาทดแทน พร้อมกับบอกว่า หากเป็นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะสนับสนุนให้มีการอุดหนุนรายได้เพื่อประกันรายได้ขั้นต่ำ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์วิจารณ์ว่านโยบายเศรษฐกิจของ คสช.ที่ผ่านมาได้อิทธิพลจากธุรกิจรายใหญ่ๆ ซึ่งในช่วงสี่ปีมานี้เติบโตอย่างมาก แต่ คสช.ไม่ได้รับมือกับปัญหาความไม่เท่าเทียมกันและทำให้เกิดการผูกขาดมากขึ้น
กับคำถามในเรื่องที่ให้มองไปข้างหน้า โอกาสในอันที่จะร่วมงานกับพรรคอื่นๆ เช่น พรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ อภิสิทธิ์กล่าวว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการวางตัวของพรรคเหล่านั้น พรรคที่จะร่วมงานกันได้จะต้องเชื่อมั่นในคุณค่าแบบเดียวกัน และ “ถ้าพรรคเพื่อไทยยังคงอยู่ใต้ร่มเงาของตระกูลชินวัตร ผมก็ไม่เชื่อว่าเราจะทำงานกับพวกเขาได้ แต่ถ้าจะให้ร่วมในรัฐบาลที่ทำอะไรในแบบที่ทำอยู่ในปัจจุบัน นั่นก็ไม่ใช่เราเหมือนกัน” พร้อมกับย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่เพื่อจะอยู่ต่อไปไม่ใช่แค่เพื่อการเลือกตั้งหนนี้หรือตั้งรัฐบาลใหม่นี้เท่านั้น
พรรคเพื่อไทยนั้น อภิสิทธิ์มองว่า “มีทั้งตัวของทักษิณ และยี่ห้อของทักษิณ พลังของยี่ห้อทักษิณยังมีอยู่เพราะความสำเร็จในอดีต แต่ตัวของทักษิณมีของพ่วงมาด้วย เท่ากับว่าเมื่อมีทักษิณก็จะต้องมีคำถามตามมาเสมอในเรื่องของการนิรโทษกรรม การทุจริต การใช้อำนาจในทางที่ผิด มันขึ้นอยู่กับว่าผู้สนับสนุนของเขาเห็นว่ายี่ห้อทักษิณ หรือว่าตัวตนของทักษิณ อะไรกันแน่ที่จะเป็นตัวหลัก”
ยังมีเรื่องของบทเรียนจากการมีรัฐประหาร อภิสิทธิ์ตอบคำถามชุดนี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้บทเรียนว่าควรจะต้องทำให้การเมืองไม่เป็นเรื่องของตัวบุคคล กลุ่มบุคคลหรือความขัดแย้ง ต้องทำให้การเมืองเป็นเรื่องว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้ ผ่านนโยบาย คุณค่าและอุดมการณ์ และการจะทำแบบนี้ได้ต้องมีพรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยจริง ด้วยประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนและเชื่อมโยงกับประชาชน ไม่ใช่มองแค่ว่าตัวเองเป็นคนบริหารนโยบาย แต่ต้องแสดงให้เห็นได้ด้วยว่าบริหารตามหลักการและคุณค่าของประชาธิปไตย
“ผมก็หวังว่าพรรคเพื่อไทยเองจะได้บทเรียนด้วย และถ้าเราทั้งสองฝ่ายต่างได้บทเรียน เราอาจจะออกจากวงจรของความขัดแย้งได้ ผมยังหวังด้วยว่า กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันจะตระหนักด้วยว่า วิธีการบริหารในปัจจุบันไม่ใช่วิธีที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้ในอนาคต”
เอเชียไทมส์มีคำถามในเรื่องของบทเรียนของ กปปส.ในการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า กลุ่ม กปปส.นั้นมีเจตนาดี เคลื่อนไหวด้วย เหตุผลที่ชัดเจน เขาไม่คิดว่าคนส่วนใหญ่ในกลุ่มต้องการให้มีรัฐประหาร พร้อมกันนั้น ยังยืนยันว่า ตนเองก่อนจะเกิดรัฐประหารก็บอกชัดว่าไม่ต้องการ และยังพยายามบอกพรรคเพื่อไทยให้ดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดรัฐประหาร
“คุณจะบอกว่ารัฐประหารเป็นผลพวงของการกระทำฝ่ายใดฝ่ายเดียวไม่ได้ ทุกคนล้วนมีส่วน” แม้พรรคจะพยายามแสดงความชัดเจนแต่เขาอ้างว่า “คู่แข่งของเรามักจะเหมารวมเราเข้ากับทหารเพราะอยากให้ตัวเองเป็นแชมเปี้ยนของประชาธิปไตย” เขายืนยันว่าถ้าเพื่อไทยไม่เอาแต่ผลประโยชน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ รัฐประหารก็จะไม่เกิด
เอเชียไทมส์ถามว่า ถ้าเช่นนั้นเขาคิดว่าอะไรดีกว่ากันระหว่างการมีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่นำทักษิณกลับไทย กับการมีรัฐบาลทหารและไม่มีประชาธิปไตย ซึ่งนายอภิสิทธิ์ตอบและถูกแปลกลับมาเป็นภาษาไทยว่า “ประชาธิปัตย์คือสิ่งที่บอกว่าเมืองไทยควรจะได้อะไรที่ดีกว่าทั้งสองอย่าง”
ตรงนี้ผมขอขัดจังหวะอีกสักรอบ เพื่อจะบอกว่า คำถามที่เอเชียไทมส์ตั้งมา มัน “สุดโต่ง” และไม่ใช่คำตอบ เป็นบ้าอะไรหรือที่คนไทยจะต้องเลือกแค่ “ทักษิณกับทหาร” หรือ “ประชาธิปไตยกับเผด็จการ”โดยเอายิ่งลักษณ์ ทักษิณเป็นตัวแทนประชาธิปไตย มันใช่หรือครับ ประชาธิปไตยคือการเอาเสียงข้างมากไปออกกฎหมายนิรโทษกรรม ให้มวลชนที่สู้เพื่อตัวเองตายฟรี?!!? ออกกฎหมายทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม สอดไส้นิรโทษกรรมคดีทุจริต นั่นหรือคือประชาธิปไตย นั่นหรือคือสิ่งที่คนไทยต้องเลือก ไม่งั้นเราจะได้ “ทหารที่ไม่มีประชาธิปไตย” คำถามมันชี้นำ มันกลบเกลื่อนความจริงที่แท้จริง และบังคับให้เลือกโดยไม่บอกว่า “มีทางเลือกอื่น”
คำตอบของนายอภิสิทธิ์ที่ถูกแปลนั้น อาจจะน่าหมั่นไส้มาก แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ คุณไม่คิดว่ามี “ตัวเลือกอื่น” มากกว่า 2 ตัวเลือกที่คุณถามหรือ? ซึ่งถ้าติดตามก่อนหน้านี้ จะพบว่า นายอภิสิทธิ์พยายามสื่อสารถี่มากในช่วงนี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังพยายามจะขอเป็น “ทางเลือกที่สาม” ที่ไม่จำเป็นต้องสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง และไม่ได้มองแค่ประชาธิปไตยหรือไม่ประชาธิปไตย แต่ถึงเวลาต้องเอาปัญหาของประชาชนและประเทศชาติขึ้นนำ ก่อนความขัดแย้ง เราอย่าแก้ปัญหาด้วยการเลือกว่า “มึงจะอยู่ข้างไหน” แต่ต้องสร้างทางเลือกใหม่ที่จะเดินออกจาก “ทักษิณหรือทหาร” เท่านั้น
อ่านบทสัมภาษณ์กันต่อครับ มีคำถามว่าหากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลจะตรวจสอบการทำงานเช่นโครงการต่างๆ ของรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า งานหลักอันแรกต้องเป็นเรื่องรื้อฟื้นเศรษฐกิจ ปรับปรุงระบบการศึกษาและทำให้ประเทศมีธรรมาภิบาล “แต่ถ้ามีนโยบายหรือโครงการที่ทุจริต ก็ต้องตรวจสอบ” เขาตอบคำถามเรื่องที่ถูกวิจารณ์ว่าแพ้เลือกตั้งและควรลาออกเปิดทางให้คนอื่นมาเป็นหัวหน้าพรรคว่า เขาลาออกทุกครั้งและได้รับเลือกใหม่ทุกหน แต่สำหรับการเลือกตั้งหนนี้ พรรคจะมีการเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ซึ่งจะเปิดให้สมาชิกพรรคทั้งหมดได้ออกเสียง
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการที่คนไม่ค่อยเชื่อถือโรดแมปของ คสช.ว่า เห็นได้จากผลโพลล์หลายหนที่คนไม่แน่ใจว่าจะมีการจัดเลือกตั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความไม่น่าเชื่อถือเพราะมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ความไม่แน่นอนของการจัดเลือกตั้งนี้ อภิสิทธิ์เห็นว่า คสช.ควรจะเป็นห่วงแรงกดดันภายในประเทศซึ่งเพิ่มมากขึ้นในช่วงสองสามปีให้หลัง และชี้ว่าการเลือกตั้งช้าไม่เป็นปัญหาเท่ากับว่ายิ่งเลือกตั้งช้ายิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคง แต่เขายอมรับว่าในสภาพปัจจุบันเป็นเรื่องยากจะบอกได้ว่าประชาชนจะแสดงออกได้อย่างไร แต่ยืนยันว่าการที่ประชาชนจำนวนมากอึดอัดใจเพราะแสดงออกไม่ได้นั้นไม่เป็นผลดี
มีคำถามว่าคนไทยต้องการประชาธิปไตยจริงๆ หรือว่าถ้าเศรษฐกิจดีก็คงอยู่กับ คสช.ได้ อภิสิทธิ์ตอบว่าสิ่งที่แลกกันได้นั้นไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องปัญหาความไม่มีเสถียรภาพมากกว่า
แต่ขณะนี้เขาเชื่อว่าคนอยากไปใช้สิทธิ อยากมีสิทธิกำหนดชะตากรรมตัวเอง ในขณะที่อีกด้านก็มีความกังวล เกรงว่าไทยจะกลับไปสู่สภาพก่อนเกิดรัฐประหารด้วย”
บทสัมภาษณ์นี้จะมีคุณค่ามากครับ ถ้าเราอ่านด้วย “จิตว่างๆ” ไม่ต้องดูว่าใครเป็นคนพูด แต่เอาสิ่งที่เขาพูดมา “ส่อง” บ้านเมืองของเรา แล้วค่อยๆ คิดไป คิดเหมือนก็ได้ คิดต่างก็ได้ แต่จงคิดเถิด!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี