ชัดเจนแล้วว่าจะมีการคลายล็อกทางการเมืองครั้งใหญ่ในเดือนก.ย.-ธ.ค. นี้ แม้ประเมินดูแล้วน่าจะไม่ใช่การคลายล็อกทั้งหมด แต่เพียงพอที่จะบอกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกตั้ง และมีแนวโน้มก็จะเกิดการเลือกตั้งจริงในวันที่ 24 ก.พ. 2562 อย่างที่นายกฯประกาศไว้ นั่นอาจกำลังบอกว่า รัฐบาลคสช. เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นไปในทางใด
เอาเข้าจริงดูเหมือนว่าภารกิจตามพันธสัญญาของรัฐบาลคสช.ก็ยังไม่ลุล่วง เสร็จสมบูรณ์ ตั้งแต่ภารกิจที่ประกาศไว้ชุดแรก อย่างการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจที่วันนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า การพัฒนาประเทศที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ก็ยังไม่มีเริ่มทำอะไรอย่างชัดเจน เมกะโปรเจกท์รถไฟความเร็วสูง และโครงการ EEC ที่รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือจะโชว์ว่าเป็นผลงานเด่นก็ยังอยู่ในระดับแผน ซึ่งทั้งหมดก็ไม่น่าจะเสร็จทัน ก.พ. 2562 แต่อะไรทำให้รัฐบาลมั่นใจถึงขนาดปักธงวันเลือกตั้งไว้อย่างชัดเจนแล้วอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลคสช. มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมรัฐบาลหลังเลือกตั้งให้ดำเนินการไปตามสิ่งที่คสช.กำหนดได้
5 ปัจจัย ที่น่าจะทำให้ คสช.อยู่ต่อไป หรือต่อให้ไม่สามารถอยู่ต่อในตำแหน่งได้ก็จะยังคงมีเงาของคสช.หลงเหลืออยู่หลังการเลือกตั้ง อาจมองได้ว่ามีบางอย่างที่เป็นมรดก คสช. ที่จะทำหน้าที่ตรึงรัฐบาลต่อไป เพื่อให้คงไว้ซึ่งแนวทางและหลักการที่คสช.กำหนดขึ้น ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นพรรคที่จัดตั้งจากคสช.เอง หรือพรรคการเมืองที่สนับสนุนคสช. หรือจะเป็นพรรคที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคสช. ซึ่งไม่ว่ารูปแบบใดก็ตามก็ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่จะทำให้คสช.สามารถควบคุมการบริหารงานรัฐบาลต่อไปได้?
ปัจจัยที่ 1 คือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งเป็นแผนที่มีเป้าหมายเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน หากดูที่จุดประสงค์ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติแล้วนั้น ถือว่าคสช.มีความปรารถนาที่ดี ว่าต่อไปเมื่อนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ จะต้องยึดตามแผนฯนี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของนโยบายและถือเป็นป้องกันการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายด้วย หากแต่รายละเอียดและอำนาจตามแผนฯนี้ จะขัดแย้งต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือไม่? พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 2560 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ คสช.เป็นผู้กำกับดูแล มีมาตรการควบคุม ติดตาม ลงโทษ หน่วยงานของรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามแผนฯ ซึ่งผู้ชี้ขาดว่าสอดคล้องกับแผนฯหรือไม่คือรัฐสภา แต่องค์ประกอบของสภาชุดหน้ารวม สว.ที่มาจากการสรรหาของคสช.ด้วย กล่าวได้กระบวนการทั้งหมดจึงถือว่ายังอยู่ภายใต้เงาของคสช. เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถบริหารนโยบายได้อย่างอิสระ? ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นฝ่ายปฏิบัติก็มีทางเลือกที่จะเข้าถึงอำนาจที่ใหญ่กว่า หรือเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลหน้าได้หรือไม่? หากมีทิศทางขัดแย้ง นอกจากนั้นการแก้ไขแผนฯ หรือปรับปรุง ให้ทันสมัยให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกก็ทำได้ยาก แม้สภาผู้แทนฯในชุดหน้าอยากจะแก้ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
ปัจจัยที่ 2 ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ ที่อยู่ในสภาตอนนี้ อาจถูกใช้เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของรัฐบาลผ่านการกำหนดการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการต่างๆ ที่จะกำหนดเงื่อนให้ต้องจัดทำโครงการของกระทรวงต่างๆ ที่จะขอใช้งบฯให้ต้องเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ยังได้กำหนดไว้ในระดับปฏิบัติของกระบวนการงบประมาณให้ต้องระบุรายละเอียดความสอดคล้องของโครงการต่อยุทธศาสตร์ชาติเรื่องใด อย่างไร? ส่วนนี้ถือว่าแตกต่างอย่างชัดเจนจากแผนพัฒนาฯในสมัยรัฐบาลสมัยก่อน เพราะเป็นการตรึงการใช้งบฯอย่างชัดเจน จึงเป็นเรื่องยากของรัฐบาลที่จะนำเสนอโครงการหรือนโยบายใหม่ ที่หลุดจากกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ที่แม้จะมีความเปลี่ยนแปลงใหม่หรือสถานการณ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นก็ตาม หรือถ้าต้องการเปลี่ยนก็ต้องไปเจรจากับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ นั่นคือต้นทางที่แท้จริงของการควบคุมใช่หรือไม่? ซึ่งยังไม่นับรวมบางมาตราของ พ.ร.บ.งบประมาณใหม่ที่มีการระบุขยายความการเตรียมการใช้การอนุมัติงบฯล่วงหน้า โดยการอนุมัติครั้งเดียวอาจมีผลต่อการอนุมัติงบประมาณที่เหลือตลอดโครงการ ประหนึ่งการอนุมัติจ่ายล่วงหน้าใช่หรือไม่?
ปัจจัยที่ 3 เมกะโปรเจกท์ EEC ที่ดูเหมือนจะเป็นโครงการพัฒนาโครงการเดียวที่เป็นรูปธรรมที่สุดของรัฐบาลชุดนี้หลังจากที่โครงการรถไฟความเร็วสูงไม่เคาะเสียที EECดูเหมือนจะเป็นการพัฒนาการลงทุนจากต่างชาติที่จะเกิดขึ้นจริง และโดยส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการในแบบระยะยาว ซึ่งจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศ หากแต่เงื่อนไขการลงทุนและเงื่อนไขพัฒนาต่างๆ ในการเร่งอนุมัติโครงการ EEC ครั้งนี้ กลับผูกเงื่อนปมบางอย่างเอาไว้ในอนาคต อาทิ การยกเว้นเงื่อนไขด้วยวิธีที่ผิดแปลกไปจากกฎหมายปกติจำนวนมาก และที่สำคัญเป็นการทำสัญญากับต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ข้อตกลงตามสัญญาในการลงทุน และกฎระเบียบที่ถูกผ่อนปรนให้ต่างชาติในกฎหมายพิเศษนี้ แม้จบรัฐบาลนี้ไปแล้วก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปภายใต้รัฐบาลหน้า และหลายปัจจัยก็ส่งผลต่อการบริหารงาน ตลอดจนมีผลผูกพันกับงบประมาณรายจ่ายที่ต้องทำตามแผนในอนาคต ซึ่งยากจะเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับโครงการปกติตามพ.ร.บ.งบประมาณ หรือการควบคุมกำกับหน่วยงานของรัฐโดยทั่วไป
ปัจจัยที่ 4 พ.ร.ป.ที่มาของวุฒิสภา น่าจะเป็นปัจจัยที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในการควบคุมรัฐบาลชุดหน้า ว่ากันตั้งแต่ที่มาของการสรรหาสว.ชุดแรกที่คณะกรรมการสรรหาล้วนมาจากการสรรหาของคสช. ซึ่งจะส่งผลต่อบทบาทและการทำหน้าที่ของสว.ชุดแรกในรัฐสภาหน้า ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง โดยสว.ที่มีมากถึง 250 คน ถ้ารวมกับสส.ที่สนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันอีกเพียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของทั้งหมด ก็สามารถควบคุมฝ่ายบริหารได้ และถึงแม้ว่าจะมีการรวมตัว สส. มากกว่า 375 คน เห็นต่างกับสว.ทั้งหมด เพื่อให้ได้นายกฯเสียงข้างมากในสภาผู้แทนคนนั้น ก็อาจจะมีปัญหาต่อกระบวนการกฎหมายต่อสภาโดยรวม ที่สว.มีบทบาทค่อนข้างมากหรือไม่? และโอกาสที่สส.สองพรรคใหญ่จะรวมตัวกันก็เป็นไปได้ยากมากเช่นกัน
และปัจจัยที่ 5 คือ มรดกโครงการของรัฐบาลปัจจุบัน ที่นับวันจะกลายเป็นโครงการถาวรอย่างล่าสุดก็ได้ออก พ.ร.บ. อย่าง พ.ร.บ.กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยมีกองทุนที่มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ซึ่งจะกลายเป็นตัวล็อกที่สำคัญให้นโยบายนี้จะต้องมีและเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งอาจส่งผลครอบงำทางความคิด เพราะเมื่อมีการจ่ายเงินให้กับประชาชนโดยผ่านโครงการบัตรคนจนแล้ว ก็ยากที่จะยกเลิก เพราะหากรัฐบาลคิดจะยกเลิก ก็ต้องทำการยกเลิกกฎหมายก่อน และอาจเท่ากับว่าเป็นศัตรูกับประชาชนที่เคยได้รับเงินเรื่อยมา ซึ่งดูแล้วก็ไม่แตกต่างกับโครงการประชานิยมในยุคของรัฐบาลทักษิณเท่าไหร่นัก การบริหารนโยบายประเภทนี้ของรัฐบาลชุดต่อไป จะยกเลิกหรือเกิดนโยบายใหม่ก็ยากที่จะเกิดขึ้นหากคณะกรรมการแผนยุทธศาสตร์ชาติไม่เห็นด้วย?
ห้าปัจจัยนี้หากดูอย่างผิวเผิน ก็มีข้อดีในฐานะเป็นตัวกำหนดทิศทางการบริหารประเทศ ทั้งในเชิงนโยบาย เสถียรภาพทางการคลัง และเสถียรภาพความมั่นคงในรัฐบาลหน้า ซึ่งหลายอย่างถูกกำหนดไว้อย่างละเอียด ในร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ ตลอดจนกฎหมายรัฐธรรมนูญในม.62 ที่ระบุถึงวิธีควบคุมการใช้นโยบายที่ฟุ่มเฟือยของรัฐ กำหนดการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ก็จะเป็นหลักประกันในการรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ไม่ให้มีสภาพเละเทะเหมือนในยุคการใช้เงินในรัฐบาลก่อนหน้าในโครงการจำนำข้าว?
ส่วนหากมองในด้านการพัฒนาประเทศ แผนเมกะโปรเจกท์ EEC ที่แม้จะเริ่มดำเนินการได้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด แต่มีความพยายามจะออกแผนปฏิบัติการ ตลอดจนถึงแผนงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.พ. 2562 นี้ใช่หรือไม่?แม้จะทำให้เกิดแง่ดีในการสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน แต่ตามมาด้วยข้อสงสัย อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วในร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ ที่อาจมีการอนุมัติจ่ายล่วงหน้าให้กับโครงการ EEC หรือไม่? ในขณะที่แผนพัฒนาประเทศอย่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะไม่เป็นเพียงแค่แผนเค้าโครงหรือชี้นำ เหมือนแผนพัฒนาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่จะกลายเป็นแผนควบคุมให้เกิดการปฏิบัติตาม เชื่อว่าในปีถึงสองปีแรกก็อาจจะเป็นคุณในแง่แผนพัฒนาได้ถูกทำให้เกิดจริงในแผนปฏิบัติ
แต่หากเวลาทอดนานไป แผนพัฒนาตลอดจนปัจจัยอื่นทั้งห้าปัจจัยนี้ อาจขัดแย้งหรือสวนทางกับความเปลี่ยนแปลงของโลก และหนทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ก็คือ การแก้กฎหมายเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายและเป็นความยากลำบากมากต่อรัฐบาลในอนาคตที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ การที่รัฐบาลคสช.วางรากฐานไว้เช่นนี้ผ่านเครื่องมือและกลไกการทำงานของรัฐบาล เพราะไม่ไว้วางใจการตัดสินใจของประชาชน และไม่เชื่อในกระบวนการการทำงานตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือกำลังกังวลเรื่องใด?
“.. หากหัวใจของผู้ใดตายแล้ว มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะสามารถบันดาลให้ฟื้นคืนมาได้หนึ่งคือความรัก สองคือความแค้น ..”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี