สิทธิและหน้าที่ของประชาชนในสังคมประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่แท้จริงนั้นประชาชนทุกคนต้องมีความเท่าเทียมกัน ยกเว้นเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น ฉะนั้นประชาชนทุกคนต้องแสดงความเป็นเจ้าของประเทศมิใช่ผู้อาศัย หรือพลเรือนชั้นสองที่สยบต่อผู้ใดไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือนักการเมือง มิฉะนั้นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงจะไม่เกิดขึ้นได้ นอกจากสังคมประชาธิปไตยจอมปลอมเท่านั้น
สำหรับประเทศไทยนั้น นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือการปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ที่อ้างเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นประชาธิปไตยนั้น ความจริงอาจกล่าวได้ว่า การปฏิวัติในครั้งนั้นเป็นเพียงการปฏิวัติจากการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่การปกครองอำมาตยาธิปไตยหรืออภิชญาธิปไตยเท่านั้น แต่การที่คณะปฏิวัติอ้างว่าเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในความเป็นจริงเป็นเพียงประชาธิปไตยแต่ในนามเท่านั้น เพราะเนื้อแท้ของการปกครองยังเป็นการปกครองของชนชั้น แต่เปลี่ยนกลุ่มผู้ปกครอง แม้ในเวลาที่ผ่านมาจะมีความพยายามที่จะทำให้การปกครองเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แต่ก็เกิดรัฐประหารอีกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2535 ก็เกิดความไม่เรียบร้อยและหลังจากนั้นก็มีการสลับไปมาระหว่างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยฟันปลอม และเผด็จการ จนกระทั่งเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์สีเหลืองกับที่ใช้สัญลักษณ์สีแดง
ในที่สุดเกิดการปฏิวัติครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนบัดนี้เป็นเวลากว่า 4 ปี ที่คณะปฏิวัติปกครองประเทศโดยระบอบเผด็จการกำลังจะผ่อนคลายอำนาจโดยประกาศใช้กติกาหรือรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 และจำดำเนินการในทางปฏิบัติที่กล่าวว่าจะให้มีการเลือกตั้งระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 หรือภายในวันที่ 5 พฤษภาคม 2562 (เป็นเพียงการกล่าวโดยยังไม่กำหนดที่แน่นอน)
อย่างไรก็ดีในฐานะนักศึกษาด้านรัฐศาสตร์ทั้งจากทฤษฎีและปฏิบัติอาจกล่าวได้ว่าตราบใดที่สังคมของประเทศไทยยังไม่ได้มีการพัฒนาประชาชนส่วนใหญ่ให้เข้าใจซาบซึ้งในการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามคำนิยามที่ว่า “การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” แม้จะอ้างว่าเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่แทนที่จะพัฒนาการปกครองประเทศให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ความจริงเป็นการเปลี่ยนจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบอำมาตยาธิปไตย
โดยไม่คำนึงถึงพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเลย ยิ่งไปกว่านั้นกลับนำเอาระบบธนาธิปไตยมามัวเมาประชาชนจากผู้ปกครองเกือบทุกยุคทุกสมัยและการคอร์รัปชั่นจากผู้มีอำนาจจึงเป็นข้ออ้างการรัฐประหารทุกครั้ง
สรุปรวมความว่า ถ้าต้องการให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว ผู้ที่ทำการปฏิวัติทำหน้าที่องค์อธิปัตย์ต้องพัฒนาประชาชนอย่างจริงจัง โดยทำให้ประชาชนรู้จักและปฏิบัติตาม “สิทธิและหน้าที่” ของประชาชนอย่างจริงจังและจริงใจไม่ใช่ทำเพียงผักชีโรยหน้า หรือ “ปากว่าตาขยิบ” จริงอยู่ อำนาจเป็นสิ่งหอมหวนและเป็นเสมือนยาเสพติด “ถ้าใครได้ลิ้มลองแล้วยากที่จะเลิกได้” แต่อย่าลืมสุภาษิตที่ว่า“ขี่หลังเสือแล้วระวังถูกเสือกัด” เว้นแต่จะหาทางลงจากหลังเสืออย่างชาญฉลาด ฉะนั้นถ้าองค์อธิปัตย์ใดสามารถละจากอำนาจได้ในเวลาอันสมควรจะได้เป็นวีรบุรุษที่ลงจากอำนาจด้วยความสง่าผ่าเผย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี