ปี 2547 ไปทำข่าวการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ในกรุงเวียงจันทน์ ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จุดเด่นของแถลงการณ์ประธานในที่ประชุมวันนั้น อยู่ที่ สปป.ลาว มีแผนพัฒนาประเทศ ให้เป็นแบตเตอรี่แห่งเอเชีย คือเป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน
ในการจัดประชุมครั้งประวัติศาสตร์คราวนั้น ว่ากันว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นผู้สนับสนุนงบค่าใช้จ่ายงบประมาณการประชุม ตลอดถึงช่วยเหลือในโครงการก่อสร้างบ้านพักผู้นำและสถานที่จัดประชุมทันสมัยที่ชื่อว่า “หอประชุมลาวไฮเทค” สิบกว่าปีผ่านไป สปป.ลาว ด้วยความช่วยเหลือของจีนพัฒนาก้าวหน้า เกือบทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน ตลอดถึงเส้นทางคมนาคมล้ำสมัย “รถไฟความเร็วสูง” ที่จีนลงทุนให้
สิบห้าปีหลังจากวันประกาศแผนการพัฒนาประเทศให้เป็น แบตเตอรี่แห่งเอเชีย สปป.ลาว สร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าทั้งจากพลังน้ำและพลังความร้อนแล้วเสร็จ ทั้งหมด 42 โครงการ และกำลังจะแล้วเสร็จอีก 9 โครงการ สื่อทางการรายงานอ้างตัวเลขกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ ว่าลาวจะมีเขื่อนผลิตไฟฟ้า กับโรงไฟฟ้าถ่านหินรวมกันเป็น 90 แห่ง ในปี 2563 ปีที่แล้ว ลาว มีรายได้จากการขายไฟฟ้า 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในท่ามกลางการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สปป.ลาว ได้เกิดธรรมชาติเตือนภัยให้เห็นหายนะ ว่าถ้ายังเดินหน้ายืมจมูกผู้อื่นหายใจ กรณีเขื่อนเซเปียน เซน้ำน้อยแตกทำให้รัฐบาลยับยั้งชั่งใจ ระงับการเดินหน้าโครงการใหญ่ไว้ชั่วคราว เขื่อนเซเปียน เซน้ำน้อย ในแขวงอัตตะปือ แตกเมื่อวันที่ 21 ก.ค. เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 38 ราย สูญหายกว่า 200 คน ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 6,600 ราย มีหมู่บ้านถูกน้ำท่วมอย่างน้อยเจ็ดแห่งประกอบด้วย บ้านท่าบกหินลาด สมอใต้ ท่าแสงจัน ท่าหินใต้ ท่าม่วง เขต สนามชัย แขวงอัตตะปือ รวมมูลค่าความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
นายคำมะนี อินทิรัด รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ของ สปป.ลาว กล่าวว่าสาเหตุที่เขื่อนดินย่อยกั้นช่องเขา ของเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยพังลงมาจากการก่อสร้างที่ต่ำกว่ามาตรฐาน เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย คือ 1 ใน 11 โครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัทจากเกาหลีใต้ บริษัทจากประเทศไทย และ สปป.ลาว ได้แก่ บริษัท SK Engineering and Construction (SK E&C) - จากเกาหลีใต้ บริษัท Korea Western Power (KOWEPO) - จากเกาหลีใต้ถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์บริษัทจากไทยถือหุ้น 25 เปอร์เซ็นต์ สปป.ลาว 24 เปอร์เซ็นต์
ดูจากการถือหุ้นและลงทุนพบว่าโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่ท่าเรือ รถไฟความเร็วสูง โรงไฟฟ้า ท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานทั่วไป ผู้ลงทุนผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ จากไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น โดยเฉพาะจีนที่ได้สัมปทานรถไฟความเร็วสูงและพัฒนาที่ดินตามแนวรถไฟนานถึง 99 ปี ดังนั้น รายได้จากการพัฒนาส่วนใหญ่จึงไหลเข้ากระเป๋านักลงทุนต่างชาติ เจ้าของประเทศไม่ได้อะไรจากการพัฒนา แต่ต้องแบกรับดอกเบี้ยเงินกู้มาลงทุนไปถึงลูกถึงหลาน คงเพราะกังวลว่าลูกหลานต้องรับภาระหนี้ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลอย่าง ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด แห่งมาเลเซีย จึงได้ปฏิเสธการพัฒนาที่มาจากเงินกู้จีน เมื่อกลางเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ดร.มหาเธร์ เดินทางไปปักกิ่ง เพื่อเจรจายกเลิกโครงการมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ที่มาเลย์ตกลงไว้กับจีน สมัยนายราจิบ นาซัคอาทิ โครงการรถไฟชายฝั่งตะวันออกมาเลย์เชื่อมภาคใต้ของไทยและกรุงกัวลาลัมเปอร์ โครงการท่อส่งก๊าซอีก2 โครงการ ที่รัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียว และแถบช่องแคบมะละกาถึงรัฐเกดะห์ ยกเลิกหมด โดยมหาเธร์ บอกว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องลงทุน เพราะมาเลย์ตอนนี้ยังมีหนี้สินกว่า 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ยกเรื่องการลงทุนของต่างชาติใน สปป.ลาว กับในมาเลเซีย ขึ้นเป็นตุ๊กตาเพราะเห็นว่า พวกอดีตนายทหารอดีตรองผู้ว่าฯ อดีตนายตำรวจ ตลอดถึงอาจารย์ สื่อมวลชนวัยชรา กำลังมีอาการดังที่พี่เปลว สีเงิน แห่งไทยโพสต์บอกว่า น่าจะเมา “เหมาไถ” หนักไปหน่อย ถึงได้ปลุกกระแสจะขุด “คลองไทย” แนว 9A ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ได้แก่ กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระยะทาง 135 ก.ม. กว้าง 400 เมตร ลึก 30 เมตร จาก อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ไปออกทะเลสาบสงขลา
พี่เปลว เขียนด้วยว่า การขุดคลองไทยจะได้ค่าเรือผ่านปีละไม่เกิน 2 แสนล้านบาท แต่การท่องเที่ยว ประมง การเกษตรภาคใต้เสียหายปีละกว่าล้านล้านบาท สภาพสังคมล่มสลายไปตลอดกาล ภูมิศาสตร์และระบบนิเวศน์เปลี่ยนไป ทำลายวิถีชีวิตคนภาคใต้และประเทศไทยที่ไม่สามารถเรียกคืนมาได้ เพราะในเส้นทาง 135 กม. ความกว้าง 400-500 เมตร รัศมีคลองไทย ที่มีน้ำเค็มเข้ามา
แทนที่ ต้องทำลายพื้นที่เกษตร สวนยางพารา สวนปาล์ม สวนผลไม้ ไร่นาอย่างน้อย 2 แสนล้านไร่ ยังไม่นับรวมพื้นดินที่จะเสียหายจากน้ำเค็มแทรกซึมทำลายไม่น้อยกว่าล้านไร่ที่ปลูกพืชผลไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีปัจจัยที่จะสร้างความเสียหายอันเกิดจากน้ำทะเลที่ควบคุมไม่ได้ “สึนามิ”ไม่เกิดขึ้นในอ่าวไทย แต่เมื่อมีร่องน้ำกว้างใหญ่ลึก 40 เมตรกว้าง 400 เมตร หากเกิด สึนามิ ในทะเลอันดามัน คลื่นยักษ์ต้องถล่มริมฝั่งคลองไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จากข้อมูลกรรมการคลองไทยพบว่า ถ้าขุดคลองตามแนว 9A จะส่งผลกระทบชาวบ้านอย่างน้อย 1.5 แสนราย และผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดตรังมากถึง 7.5 หมื่นราย เพราะแนวคลองผ่าน 4 อำเภอคือ สิเกา วังวิเศษ ห้วยยอด และรัษฎา ใน 14 ตำบล 135 หมู่บ้าน ถ้าขุดคลองนี้คือความหายนะที่เกิดขึ้นกับคนภาคใต้โดยเฉพาะชาวตรัง
แผนการขุดคลองเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะกลุ่มทุนจีน เริ่มเสนอแผนงานและรณรงค์ให้โครงการคลองไทยเกิดขึ้น ตั้งแต่พ.ศ. 2547 ปีเดียวกับที่จีนเริ่มโหมลงทุนใน สปป.ลาว ครั้งนั้นจีนร่วมมือกับกลุ่มอดีต สว. นำโดย นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ ทำการศึกษาโครงการคลองไทย และผ่านการเห็นชอบจากกรรมาธิการวุฒิสภาปี 2549 โครงการโดยการริเริ่มของจีนต้องพับไปพร้อมกับการล้มหายตายจากของพรรคไทยรักไทยและโครงการขุดแผ่นดินไทย ถูกปัดฝุ่นขึ้นใหม่ในรัฐบาลเพื่อไทย แต่ก็เงียบหายไปพร้อมกับการล่มสลายของรัฐบาลนั้น อย่างไรก็ตาม นายทุนจีนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ผลักดันให้ฟื้นชีพโครงการคลองขึ้นมาใหม่
ในปี 2548 พลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาค 2 ได้นำผู้แทนจากบริษัทจีนเดินสายเคลื่อนไหวฟื้นชีพ โครงการคลองไทยในภาคใต้โดยเฉพาะจังหวัดตรัง ตั้งแต่นั้นมาโครงการคลองไทยเป็นที่กล่าวขานต่อๆกันมา มีการเคลื่อนไหวปลุกระดมเสนอแนวความคิด จากกลุ่มคนต่างๆ กว้างขวางออกไปในหมู่กำนันผู้ใหญ่บ้าน อดีตนายทหาร อดีตนายตำรวจ อดีตรองผู้ว่าฯ สื่อชรา และ อาจารย์ ฯลฯ
มีการจัดตั้งสมาคมคลองไทย บางกลุ่มไปไกลถึงตั้งพรรคการเมือง เพื่อผลักดันให้รัฐบาลรับโครงการไปศึกษา จัดตั้งเลขาสมาคมคลองไทยประจำภาค ฯลฯ เลขาสมาคมคลองไทย จ.ตรัง อดีตกำนันระพี อินทรวิเศษ กล่าวว่า บริษัทจีน ได้ทำการศึกษาแผนงานก่อสร้างโครงการเสร็จแล้ว ถ้าได้งานบริษัทจีนสามารถสร้างคลองไทย แล้วเสร็จได้ภายใน 5 ปี “บริษัทจีนพร้อมจะลงทุน ร่วมทุน หรือปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 2 ล้านล้านบาท เต็มราคามูลค่าของโครงการ”
อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครบอกได้ว่า จีนที่ว่าเป็นรัฐวิสาหกิจหรือเป็นเอกชนหรือเป็นใคร ที่น่าสนใจคือจีนนี้จ่ายไม่อั้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางคนเดินทางไปดูงานประเทศจีนเป็นว่าเล่น นายก อบต. คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าการเข้าสัมมนา ที่อ้างว่ารับฟังความคิดเห็นแต่ละครั้ง นอกจากได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อยังได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 1,800 บาท ระดับ อบต. รับวันละ 1,800 บาท ถ้าระดับอดีตแม่ทัพ อดีตนายพลตำรวจ อดีตรองผู้ว่า สื่อชรา ตลอดถึงอาจารย์ จะรับครั้งละเท่าไหร่ให้ลองคิดดู นี้กระมังที่พี่เปลว พูดว่า ผู้เฒ่าเมาเหมาไถ มากไปหรือเปล่า แต่ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ น่าจะพูดว่าน่าเมาเงินหยวนชวนกันขุดแผ่นดินไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี