ในเวทีเสวนา “จับสัญญาณอันตรายความตายความรุนแรงในครอบครัว 2018” จัดโดยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เมื่อเร็วๆ นี้ที่ โรงแรมเอบีน่าเฮ้าส์ เพื่อนบ้านของ “แนวหน้า” เมื่อเร็วๆ นี้ มีประเด็นน่าสนใจ
นางสาวอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ได้เก็บสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัว จากหนังสือพิมพ์ 11 ฉบับ ปี 2561 พบว่า เพียงแค่ 7 เดือน ม.ค.-ก.ค. เกิดข่าวความรุนแรงในครอบครัวสูงถึง 367 ข่าว เป็นข่าวฆ่ากันตาย 242 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 65.9 รองลงมาเป็นข่าวทำร้ายร่างกาย 84 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 22.9 และข่าวฆ่าตัวตาย 41 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 11.2 ทั้งนี้หากเปรียบเทียบข่าวฆ่ากันตายย้อนหลัง 3 ปี จะเห็นว่าปี’61 สถิติสูงสุดกว่าทุกปี โดยปี 2555 มีข่าวร้อยละ 59.1 ปี 2557 มีข่าวร้อยละ 62.5 และ ปี 2559 มีข่าวร้อยละ 48.5 ทั้งนี้หากวิเคราะห์เชิงลึกในรอบ 4 เดือน เฉพาะข่าวฆ่ากันตายเฉลี่ยแล้วจะมีประมาณเดือนละ 20 ข่าว
ส่วนปัจจัยกระตุ้นพบว่ามาจากสุราและยาเสพติด ที่น่าห่วงคือ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุมากที่สุด ได้แก่ ปืน ร้อยละ 40.5 รองลงมาเป็นมีด ของใช้ใกล้มือ ไม้ ค้อน เมื่อลงลึกถึงมูลเหตุที่ลงมือ พบว่า บันดาลโทสะ หึงหวง และมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากพบว่านี้ร้อยละ 94.9 ของผู้ที่พบเห็นเหตุความรุนแรงเลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่เข้าไปช่วยเหลือ
“ปรากฏการณ์ทำร้ายร่างกาย ฉุดกระชากลากถู ตบตีในพื้นที่สาธารณะมีให้เห็นมากขึ้น สถิติลงมือฆ่ากันตาย มันเป็นสัญญาณอันตราย ทั้งความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชาย รวมถึงโครงสร้างสังคมยังกำหนดความไม่เท่าเทียมผ่านสถาบันครอบครัว การศึกษา ระบบเครือญาติ การเมือง และศาสนา สะท้อนให้เห็นว่า 1.ผู้กระทำความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นผู้ชายยังมีวิธีคิดและทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดแสดงออกผ่านพฤติกรรมความหึงหวง บันดาลโทสะ 2.การผลิตซ้ำวาทกรรม “ชายเป็นใหญ่” ทั้งปรากฏอย่างชัดเจนและแฝงเร้น เช่น เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องลิ้นกับฟัน อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เมื่อเขาคืนดีกันเราจะเป็นหมา เป็นต้น ส่งผลให้คนในสังคมไม่อยากเข้าไปช่วยเหลือ และไม่กล้าเข้าไปแก้ปัญหา ทำให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น” นางสาวอังคณา กล่าว
และว่า สังคมจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องของสังคมหรือสาธารณชน เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ให้ช่วยเหลือทั้งการแจ้งปัญหาต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีอำนาจหน้าที่ หรือการเข้าไปช่วยเหลือด้วยตนเอง เป็นต้น รวมถึงการรณรงค์สร้างวัฒนธรรมให้เคารพเนื้อตัวร่างกายผู้อื่นซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก โดยมูลนิธิและภาคีเครือข่ายเตรียมจะยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร็วๆ นี้
นางสาวแพรวดาว ศิวภูวดลพิทักษ์ หรือ เอิร์น พลเมืองดีที่เข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวที่ถูกคนรักซ้อมโหด ทั้งใช้หมวกกันน็อกฟาด กระทืบจนเจ็บหนัก ตามที่ปรากฏเป็นข่าวดังเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา เปิดเผยว่า มันเป็นจังหวะที่ต้องตัดสินใจเข้าไปช่วยน้องผู้หญิง เพราะถ้าไม่เข้าไป น้องต้องถูกซ้อมอีก และไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ล่าสุดได้ไปเยี่ยมและให้กำลังใจน้องที่โรงพยาบาล อาการผ่าตัดดีขึ้น แต่แม่ของน้องยังร้องไห้ตลอดเวลารับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ส่วนตัวน้องเองยืนยันว่าจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกันอีก ยิ่งตอนนี้คู่กรณีได้ประกันตัวออกมา ก็สร้างความหวาดระแวงให้คนในครอบครัวน้อง ซึ่งตนได้แนะนำให้น้องระมัดระวังตัวด้วย
“อยากให้กรณีที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนให้กับสังคมช่วยกันเป็นหูเป็นตา ไม่นิ่งเฉย อย่าฝังใจว่ามันเป็นเรื่องของผัวเมีย เรื่องของแฟนกันเราอย่าไปยุ่ง หรือมองว่าการทำร้ายร่างกายเป็นเรื่องปกติ นี่ขนาดมีคนพบเห็นเขายังทำได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นกรณีที่ไม่มีใครพบเห็นจะขนาดไหน อีกทั้งต้องปลูกฝังว่า คุณไม่มีสิทธิทำร้ายร่างกายใคร ต้องให้เกียรติ เคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกายจิตใจ ส่วนบทลงโทษต้องเข้มงวดเอาจริงเอาจัง และอยากฝากให้ทุกคนมีสติในการใช้ชีวิต” นางสาวแพรวดาว กล่าว
ครับ ก็ต้องช่วยๆ กันเพื่อให้สังคมไทยดีขึ้นกว่าเดิม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี