ในยุคที่สื่อมวลชนทุกแขนงของประเทศไทยต่างดิ้นรนขวนขวายอย่างหนักเพื่อให้ได้เงินเข้าไปหล่อเลี้ยงองค์กรให้อยู่รอดปลอดภัย และสามารถดำเนินกิจการต่อไปให้ได้ ถึงแม้สื่อฯ หลายแขนงต่างพยายามดิ้นรนจนสุดความสามารถแล้ว แต่ทว่าก็ยังไม่สามารถประคับประคองกิจการของตนให้รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจ จนสื่อฯ หลายรายต้องล้มเลิกกิจการไปในที่สุด
แต่สำหรับสื่อมวลชนที่ชื่อไทยพีบีเอสแล้ว กลับไม่ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด เพราะทุกๆ ปี ไทยพีบีเอสจะได้รับเงินอย่างน้อย 2 พันล้านบาท ไหลเข้าสู่องค์กรสื่อฯ แห่งนี้ เพราะฉะนั้น ไทยพีบีเอสจึงไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับการแสวงหารายได้เหมือนกับสื่อฯ อื่นๆ ในประเทศไทย
เท่าที่ผู้เขียนรับทราบมาพอสังเขป พบว่าในปี 2561 ไทยพีบีเอสได้รับงบประมาณประจำปีเป็นเงิน 2,507,978,400 บาท (สองพันห้าร้อยเจ็ดล้าน เก้าแสน เจ็ดหมื่น แปดพัน สี่ร้อยบาท) ซึ่งนับว่าสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสมีรายได้มากกว่ารายได้ของสถานีโทรทัศน์อีกหลายสิบช่องในประเทศไทย
ยกตัวอย่าง สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องยอดนิยมช่องหนึ่งของประเทศไทย ปรากฏว่าในปี 2560 มีรายได้รวม 11,035 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณากำไรสุทธิแล้ว พบว่ามีเพียง 61 ล้านบาท จากที่เคยทำกำไรได้สูงถึง 4,414 ล้านบาท เมื่อปี 2557 ส่วนผลประกอบการประจำปี 2560 ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ปรากฏว่าขาดทุนสุทธิ 2,543 ล้านบาท ในขณะที่สถานีโทรทัศน์สีช่อง 7 ทำกำไรในปี 2560 ได้ 1,516 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังมีสถานีโทรทัศน์อีกหลายช่องที่มีรายได้เพิ่มขึ้น อาทิ เวิร์คพอยท์ ช่องวัน โมโนทเวนตี้ไนน์ ช่องแปด ไทยรัฐ เป็นต้น
ความจริงเชิงประจักษ์ที่สังคมไทยรับทราบ คือ สถานีโทรทัศน์ทุกช่องในประเทศไทยล้วนต้องหารายได้เพื่อใช้ในการดำเนินกิจการของตน ซึ่งแตกต่างไปจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่ไม่ต้องหารายได้เพราะมีรายได้จากภาษีบาปปีละอย่างน้อย 2 พันล้านบาท แต่เมื่อเทียบความนิยมของผู้ชมที่มีต่อสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ แล้ว พบว่าความนิยมของผู้ชมที่มีต่อสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสต่ำกว่าความนิยมที่ผู้ชมมีต่อสถานีโทรทัศน์ช่อง 3, 5, 7, 9และ 11 เสมอมา
ขอให้ลองพิจารณาข้อมูลต่อไปนี้ แล้วโปรดใคร่ครวญดูว่างบประมาณที่สำนักต่างๆ ของไทยพีบีเอสได้ในปีล่าสุดนั้นมีมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น สำนักเครือข่ายสื่อสาธารณะ ได้งบฯ ทั้งสิ้นประมาณ 43 ล้านบาท ศูนย์พัฒนาสื่อเสียงและสถานีวิทยุกระจายเสียง ได้รับงบฯ 25 ล้านบาท สำนักโทรทัศน์และวิทยุ ได้รับงบฯ 20 ล้านบาท ฝ่ายเทคโนโลยี สำนักบริหาร ได้รับงบฯ 105 ล้านบาท ฝ่ายบริหารทั่วไป สำนักบริหาร ได้รับงบฯ 97 ล้านบาท สำนักข่าว ได้รับงบฯ 59 ล้านบาท สำนักวิทยุและโทรทัศน์ ได้รับงบฯ 54 ล้านบาท สำนักทรัพยากรมนุษย์ ได้รับงบฯ 584 ล้านบาท สำนักรายการ ได้รับงบฯ 64 ล้านบาท สำนักวิศวกรรม 331 ล้านบาท ฝ่ายสื่อสารองค์การ สำนักสื่อสารและภาคีสัมพันธ์ ได้รับงบฯ 22 ล้านบาท ศูนย์พัฒนาสื่อใหม่ ได้รับงบฯ 53 ล้านบาท เป็นต้น
เงินงบประมาณที่แต่ละสำนัก ในไทยพีบีเอสได้รับนั้น ทำให้เกิดคำถามมากมายจากสาธารณชน รวมถึงคนในองค์กรไทยพีบีเอสว่า เป็นการใช้งบฯ ที่มีประสิทธิภาพ และสามารถให้ผลผลิตที่มีประสิทธิผลกับสังคมไทยอย่างแท้จริงหรือ
หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าภายในองค์กรไทยพีบีเอสนั้นใช้เงินภาษีบาปกันอย่างน่าสงสัย และไม่น่าจะก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดกับสาธารณชนอย่างแท้จริง
ดังนั้น จึงทำเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เมื่อไทยพีบีเอสมีเงินจากภาษีบาปปีละอย่างน้อย 2 พันล้านบาทไหลเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ก็จึงเปรียบเสมือนว่าไทยพีบีเอสเป็นบ่อเงินบ่อทองสำหรับผู้ที่หิวกระหาย โดยเฉพาะคนบางกลุ่มบางจำพวกที่ไม่มีความรู้ความสามารถในการบริหารกิจการด้านโทรทัศน์อย่างแท้จริง แต่กลับเข้าไปอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ภายในองค์กรแห่งนี้ โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนแต่ละเดือนเป็นหลัก 1-2 แสนบาท เป็นอย่างน้อย แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ในองค์กรแห่งนี้ยังมีคนจำพวกที่ถูกสังคมวิจารณ์ว่าเป็น dead wood ที่ไร้ความสามารถ ไร้ประสบการณ์ในงานโทรทัศน์ แต่กลับเข้าไปอยู่ในองค์กรแห่งนี้ได้ เพราะอาศัยระบบเส้นสายพวกพ้อง
เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจที่มักจะเกิดปัญหาต่างๆ อันเกี่ยวข้องกับการบริหารงานภายในองค์กรแห่งนี้เป็นประจำ อาทิ ความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ไทยพีบีเอสยังคงทำเป็นดื้อตาใส ในกรณีการใช้เงินประมาณ 200 ล้านบาทซื้อหุ้นกู้ของซีพีเอฟ เพราะถึงแม้สำนักงานกฤษฎีกา จะลงความเห็นว่าเป็นการใช้เงินที่ผิดประเภทและไม่ถูกต้องตามระเบียบขององค์กร แต่ทว่าผู้บริหารของไทยพีบีเอสก็ยังคงไม่นำพากับความเห็นของสำนักงานกฤษฎีกา โดยอ้างว่าไทยพีบีเอสมิได้รับความเสียหายจากการซื้อขายหุ้นกู้ดังกล่าว
เมื่อผู้บริหารไทยพีบีเอสใช้วิธีดันทุรัง เพื่อเอาตัวรอดในเรื่องข้อบกพร่องจากการซื้อขายหุ้นกู้ซีพีเอฟ โดยอ้างว่าองค์กรได้ประโยชน์ แต่กลับมิได้คำนึงถึงความเหมาะความควรในการนำเงินขององค์กรไปใช้โดยไม่ถูกต้องเหมาะสม ก็จึงทำให้วิญญูชนตั้งคำถามว่า ฝ่ายบริหารของไทยพีบีเอสยังมีความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่ง โดยได้รับเงินเดือนสูงๆ ต่อไปอีกเช่นนั้นหรือ
แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดว่า ผู้บริหารระดับสูงหลายรายของไทยพีบีเอส อาศัยสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งสร้างรายได้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต เพราะหลายคนมีอายุเกินวัยเกษียณแล้ว แต่ยังสามารถหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเองถึงเดือนละเกือบ 2 แสนบาท โดยไม่รวมรายได้จากสวัสดิการอื่นๆ ที่องค์กรแห่งนี้มอบให้
ดังนั้นวิญญูชนจึงไม่ประหลาดใจว่าเหตุใดทุกครั้งเมื่อมีการรับสมัครตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอส อาทิ กรรมการนโยบาย จึงมักจะมีคนหน้าเดิมๆ ที่เคยวนเวียนอยู่ในตำแหน่งสูง ๆ ของไทยพีบีเอส เวียนวนกลับเข้าไปสมัครในตำแหน่งดังกล่าวตลอดเวลา ซึ่งเมื่อวิญญูชนได้เห็นรายชื่อของคนกลุ่มดังกล่าวแล้วก็รู้สึกได้ถึงความไม่รู้จักพอของคนบางคนได้เป็นอย่างดี และตั้งคำถามว่า ไม่คิดจะทำงานอื่น หรือทำงานที่อื่นบ้างหรือ หรือว่าทำงานกับไทยพีบีเอสดีที่สุด เพราะรายได้ดี
แต่ที่น่าสังเวชยิ่งกว่าคือ มีผู้สมัครบางรายที่นอกจากจะเคยทำงานอยู่ในไทยพีบีเอสมาก่อน แถมเมื่อครั้งที่ทำงานอยู่นั้นก็เคยมีประวัติที่ไม่ขาวสะอาด แต่เมื่อออกจากไทยพีบีเอสไปแล้ว ก็ยังอุตส่าห์อยากจะหวนกลับไปกินตำแหน่งกรรมการนโยบายขององค์กรนี้อีก หรือแม้แต่บางคนก็เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงในไทยพีบีเอสมาแล้ว แต่ก็ยังพยายามจะกลับเข้าไปอยู่ในตำแหน่งกรรมการนโยบายอีก ซึ่งนับว่าประหลาดมหัศจรรย์มากจนเกินจะบรรยายได้
อย่างไรก็ตาม หากไทยพีบีเอสสามารถหารายได้ได้ด้วยลำแข้งของตนเองแล้ว วิญญูชนย่อมจะไม่ตั้งคำถามใด ๆ ถึงการใช้งบประมาณแบบแปลกประหลาดขององค์กรนี้อย่างแน่นอน เพราะถือว่าเป็นผู้หารายได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แต่เมื่อรายได้ทั้งหมดของไทยพีบีเอสมาจากภาษีบาป ซึ่งถือเป็นรายได้ส่วนหนึ่งของแผ่นดิน ซึ่งก็เท่ากับเป็นรายได้ของประเทศและของประชาชนทุกคน ดังนั้นสาธารณชนจึงจำเป็นต้องติดตามการใช้จ่ายเงินภาษีบาปของไทยพีบีเอส และไทยพีบีเอสก็จำเป็นจะต้องแสดงให้สาธารณชนประจักษ์ว่า ตนเองใช้เงินภาษีบาปอย่างคุ้มค่า และโปร่งใส เพราะถ้าหากไม่สามารถทำความกระจ่างให้ปรากฏกับสาธารณชนได้แล้ว สาธารณชนก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องขอให้รัฐบาลนำเงินปีละอย่างน้อย 2 พันล้านบาท ไปสร้างสรรค์สาธารณประโยชน์ที่มีคุณค่าสูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชน ดีกว่าปล่อยให้เงินจำนวนนี้ถูกละเลงให้ละลายหายไปโดยไร้ประโยชน์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี