l เจี๊ยบ & โจ๊ก ลูกรัก
1. พ่อเป็นคนโชคดี ที่ได้เกิดเป็นคนไทย บนแผ่นดินไทยอันศักดิ์สิทธิ์ มีคุณค่าและความหมายต่อตระกูลของเรา(พ่อ) ฉันเกิดในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีต่อเนื่อง มายังแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10“ปู่และตา ของพ่อ” เดินทางมาจากเมืองจีน ได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ของพระมหากษัตริย์ไทยมาพบรักกับ “ย่าและยาย” บนแผ่นดินสยาม ที่สุโขทัย-ลำปาง และใช้ความวิริยอุตสาหะ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาป๋ากับแม่(ของพ่อ) กำเนิด ที่สุโขทัย (สวรรคโลก ) และลำปาง และมาพบรัก ก่อตั้ง “ร้านชัยประสานลำปาง” ได้ให้กำเนิดลูก 9 คน โดยการคลอดที่อาศัยหมอตำแย และที่โรงพยาบาลสำหรับน้องคนท้ายๆ ที่เกิดตามมาแต่เนื่องจากยุคนั้นความเจริญทางการแพทย์ยังไม่ดีนัก “พี่สาว 2 และน้องสาว 1 คน” จึงจากไปด้วยโรคภัย เหลือ 6 คน ที่เติบใหญ่ จากการอุทิศตนของป๋าและแม่เลี้ยงลูก ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นพระคุณที่สุดในชีวิต
“พระคุณของแผ่นดินไทย และ ป๋า-แม่ “ตามมาด้วย พระคุณของ “ครูและพระ” ทำให้ “พ่อ” มีวันนี้
@วันนี้พ่อผ่านโลกชีวิตมาได้อย่างโชกโชน เกือบทุกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ตั้งแต่ 14 ตุลา 2516 คงเหลือ
ไม่ถึงครึ่งของเวลาที่ผ่านมาในชีวิต “จึงควรแก่การที่จะมาบันทึกเรื่องราวในชีวิต ฝากไว้ให้ลูกหลาน
2. “สิ่งดีสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิต คือ การได้พบแม่และมาครองรักใช้ชีวิตร่วมกันมา จากปี 2525 จนถึงวันนี้แม่ของลูก เป็นผู้หญิงที่แกร่งเก่ง ไม่ยอมใคร และสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะ เมื่อเป็นนิสิต ม.เกษตรฯในความไม่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย คือ “เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519” กลับมีเรื่องดีเล็กๆ แต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง คือ “ทำให้พ่อได้พบแม่ ที่สมรภูมิภูพานแห่งการต่อสู้ของประชาชน “และเมื่อพ่อกลับออกมาสู่เมือง โดยการลาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ให้ความรักความคุ้มครองแก่ชีวิตของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของนักเรียนนักศึกษาประชาชนผู้รักชาติประชาธิปไตยและพรรคการเมืองให้พ้นจากอำนาจเผด็จการของผู้ครองเมืองในยุคนั้น นี่ก็เป็นบุญคุณยิ่งใหญ่ที่พ่อไม่มีวันลืมเลือนได้เลยในชีวิตและการออกมาต่อสู้กับชีวิตในเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่งได้ ก็เพราะนโยบายของรัฐบาลในยุคนั้น : ต้องขอบคุณ
3. เพื่อนวิศวจุฬาฯ ที่ช่วยให้กำลังใจ บางส่วนชื่นชม “ด้วยการปิดห้องประชุม ให้พ่อได้เล่าชีวิตในป่าใหญ่”และพ่อสามารถใช้อาชีพวิศวกรรมศาสตร์ ทำงานเป็นนายช่างโครงการสร้างถนนในชนบทภาคเหนือภาคกลางก็เพราะ “ เพื่อนวิศวจุฬาฯ” ที่ฝากให้ทำงานกับบริษัทก่อสร้างทางในยุคนั้น : เป็นน้ำใจ “เพื่อนช่วยเพื่อน” @พ่อก็ได้ทำงานให้กับ “รุ่น วศ.10” ในฐานะประธานรุ่น 2 สมัย ปี 2531 และ 2532 โดยร่วมกับกรรมการรุ่นและเพื่อน วศ.10 ได้สร้างความภาคภูมิใจในวิศวฯ
รุ่นเดียวกัน ที่เริ่มเติบใหญ่ และวางรากฐานทางการเงินฯซึ่งประธานและกรรมการรุ่นฯ ตั้งแต่ยุคก่อตั้งมาถึงปัจจุบัน ได้ร่วมพัฒนาสร้างสรรค์ วศ.10 ให้มั่นคง ยั่งยืน อนึ่งก่อนหน้านี้ ตั้งแต่พ่อเรียนปีหนึ่ง Freshy จนถึง Senior (2510 – 2515 )ได้ทำกิจกรรมทั้งในวิศวและจุฬาฯมีเรื่องสำคัญๆ หลายเรื่อง ตั้งแต่ : “การร่วมกับวิศวฯรุ่นน้อง เรียกร้องเงินบำรุงพิเศษ คนละ 5,000 บาทต่อปี “จนสำเร็จ โดยต้องไปจบลงที่ ครม. อนุมัติ ทำให้นิสิตวิศวฯทุกสถาบันฯ ที่จ่ายเงินไป ได้คืนมาทั้งหมด เรียกร้องให้มีการสงวนอาชีพให้กับคนไทย ปี 2515 และการเป็น อุปนายก และ นายกสโมสรนิสิตจุฬา 2514
4. เมื่อพ่อและเพื่อนๆ ที่กลับจาก“ป่ามาสู่นาคร” สามารถปักหลักสร้างฐานได้ในระดับหนึ่ง เป็นหน้าที่ช่วยน้องๆ ที่ออกมาจากสมรภูมิในชนบทอันกว้างใหญ่ของประเทศ ในทุกภาคทุกภูและขุนเขาแม่น้ำ เหนืออีสานกลางใต้ฯโดยการตั้ง “กลุ่มเพื่อนพ้องน้องพี่” ช่วยทั้งกำลังใจ ทรัพย์ และความคิด ให้สามารถยืนทรงตัวอยู่ได้ในเมือง เพราะ “สิ่งที่ประสบพานพบในชีวิตยุคนั้น” มีหลากหลายครบทุกรสชาติของชีวิต จากความหวังสูงสุดสู่สิ้นหวัง “จากวนาสู่นาคร เอาธงแดงไปปักกลางนคร” กลับแบกศพของสหายไว้ในใจ จากการต่อสู้อย่างกล้าหาญเสียสละหลายคนจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะ“ไข้ป่า มาลาเรีย” และรอยแผลพรุนตามแขนซ้ายขวาจากการฉีดยาของพยาบาลแดงที่ช่วยดูแลเรา ด้วยจิตใจและความรักทางชนชั้นที่ยิ่งใหญ่ (ที่บางส่วนเลือนหายไปในปัจจุบัน )เลือดเนื้อชีวิตหยาดเหงื่อน้ำตาที่ไม่เคยแห้ง ในทุกวันเดือนปี ที่สหายต้องเสียสละไปด้วยน้ำมือคนไทย ด้วยกันเสียงคำขวัญ “ตายสิบเกิดแสน-ความคับแค้นจะต้องได้รับชำระ” ฯลฯ ที่ได้เคยประกาศก้องในกาลครั้งหนึ่งไม่น้อยคนที่ผิดหวังต่อการนำของพรรคฯ ทั้งทางทฤษฎี ความคิด ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแต่เรื่องจิตใจน้ำใจของ“เหล่าสหายนักรบ ทหารพิทักษ์ พยาบาล ครู แม่ครัวพี่เลี้ยง มวลชน “ไม่เคยลืมเลย” สำหรับพ่อ ยังคงรักเคารพ ในส่วนวัตรปฏิบัติและจิตใจอันดีงามของสหายลุงป้าและมวลชนทั้งหลายส่วนหลักคิดทฤษฎีแนวทางฯ ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย เหตุแห่งความไม่สำเร็จ นำมาเป็นบทเรียนและนำเอาประสบการณ์การต่อสู้การดำรงชีวิต มาปรับใช้ สำหรับชีวิตที่ยังเดินบนหนทางประชาชนต่อมา
5. วันเวลาที่เราเติบโตขึ้น ได้สรุปบทเรียนด้วยเลือดเนื้อชีวิต โดยจิตใจความรักชาติรักประชาธิปไตยยิ่งใหญ่แต่การขาดประสบการณ์ และการมองด้านเดียว ทำให้เกิดข้ออ่อน ซึ่งเราต้องปรับปรุงแก้ไขกันต่อไปหลายคนปรับปรุงตัวเองได้ดี บางคนหมดหวังผิดหวัง “ยุติ หลบหน้า” เพื่อให้หายลืมความทรงจำที่เจ็บปวดบางคน ยังยึดมั่นความรักความคิดในการต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่งดงามตามที่เราหวังไว้ ให้ปรากฏเป็นจริงขึ้น บางส่วนพกความแค้นฝั่งใจ และยังมีอคติ แต่บางส่วนก็เปลี่ยนไป แสวงหาอำนาจอย่างที่เคยกล่าวหาคนอื่น แต่มาถึงยุค “ระบอบทุนสามานย์” ครองเมือง มิตรสหายก็แยกทางเดิน บางส่วนหันมาประจันหน้ากันเองและต่างกล่าวหาว่า “อีกฝ่ายหนึ่งผิด ตัวเองถูกต้อง” แทนที่จะยึดแนวทาง “แสวงหาสัจจะจากความเป็นจริง”เพราะข้อเท็จจริงคือ “ไม่มีอะไร ฝ่ายใด สมบูรณ์” มีผิดมีพลาด โดยหลักต้อง พิจารณา “เรื่องหลักเรื่องรอง” โดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์” มิใช่ เรา หรือ เขา หรือ ใคร !
6. บนหนทางข้างหน้าภายใต้สถานการณ์ทั้งทางสากลและภายในประเทศ สับสนวุ่นวาย เกิดความขัดแย้งใหม่ที่ผิดแผกไป
จากเดิม อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน, หนทางไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง เกิดปัญหา มีคำถามใหญ่ “ระบบประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้งตามระบบรัฐสภาหรือ ระบบเผด็จการโดยทหาร” ล้วนมีข้อดีข้อเสีย ที่ควรจะนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย แต่ผู้นำทุกภาคส่วน ทั้งนักการเมืองทหารข้าราชการ กลุ่มทุนภาคประชาชน ยังไม่มีแสงสว่างในความคิดแต่ละฝ่าย คล้ายคนตาบอดควานหาหนทางออก จากความคิดความเชื่ออคติอวิชชาของตนและพวกพ้อง โดยยึดผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องและอัตตาของตนมาก่อนประชาชน ( ประชาชน ล้วนเป็นข้ออ้าง ) ไม่ได้แสวงหาสัจจะจากความเป็นจริง เหมือนดุจแต่ละฝ่ายเดินไปตามความคิดความเชื่อของตนในถ้ำมืดมิด ที่พยายามหาทางออก โดยไม่มีความคิดเครื่องมือ เป็นตัวนำทาง ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่น่าเป็นห่วงและกังวลยิ่งนัก คือ ต่างฝ่ายต่างพกอาวุธและมีกำลังของตน ทั้งอำนาจ ทุน สื่อ นักวิชาการ
อะไรจะเกิดขึ้น “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ที่หันหน้ามาเผชิญกัน ลืมความรักความสัมพันธ์ ที่เคยมีต่อกันไปหมด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี