กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยเราเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นสุดยอดของเมืองแห่งการท่องเที่ยวโลก แต่คู่ขนานกันไปกับการขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจโดยฝ่ายกองกำลังทัพทหารอีกด้วย
ปรากฏการณ์ของการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาเสริมสร้างความเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยของไทยเรานั้นยังไม่แล้วเสร็จ ไทยเรายังไม่สามารถแก้ปัญหาการบ้านการเมืองด้วยการจับเข่าพูดจากัน และเล่นตามกติกา กอร์ปด้วยความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และประโยชน์ของส่วนรวม หรือมีความรู้จักพอ และออมชอมไม่ยึดมั่นถือมั่นกันให้ถึงที่สุด แล้วประเทศชาติเสียหาย ประชาธิปไตยติดสันดอน
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไทยเราต้องพัฒนาตัวเองกันต่อไป เพื่อเราจักได้เห็นกรุงเทพฯ เป็นทั้งเมืองที่น่าอยู่ น่าเที่ยว และโดดเด่นในเรื่องประชาธิปไตย
ประเทศออสเตรเลีย เป็นประเทศพัฒนาแล้วทั้งในแง่การเมืองการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย และในแง่ความมั่งมีศรีสุข ความเจริญก้าวหน้าทุกด้าน
ล่าสุดนครเมืองของออสเตรเลียติดอันดับสิบแรกของเมืองน่าอยู่ที่สุดของโลกถึง 3 เมือง คือ นครซิดนีย์ นครเมลเบิร์น และนครแอดิเลด ซึ่งถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เป็นเรื่องน่าทึ่งของชาวโลก และเป็นเรื่องน่าภูมิอกภูมิใจของชาวนครทั้ง 3 รวมทั้งชาวออสเตรเลียโดยทั่วไป
แต่ในระยะเวลาใกล้เคียงกับการประกาศผลสำรวจของความเป็นเมืองน่าอยู่ระดับต้นๆ ของโลกนั้น ออสเตรเลียก็มีเมืองที่เป็นข่าวฮือฮากระฉ่อนไปทั่วโลกคือ การที่กรุงแคนเบอร์รา เมืองหลวงของออสเตรเลียได้รับฉายาว่า เป็นเมืองหลวงแห่งการปฏิวัติยึดอำนาจ (Coup Capital) ของโลกประชาธิปไตย คือเป็นประเทศประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบแต่การเมืองที่กรุงแคนเบอร์รา นั้นมีการล้มล้าง หักโค่น หักล้าง กันในแวดวงการเมืองอย่างถึงพริกถึงขิง หรือมีการรวมตัวกันเพื่อคัดค้าน ขัดขา ขัดขืน หักล้าง เพื่อโค่นล้มอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นต่าง หรือผู้นำหนึ่งใด เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจให้กับกลุ่มของตน หรือบุคคลผู้นำของตนชนิดที่ไม่ไว้หน้ากันเลย
การดำเนินการแบบล้มและยึดอำนาจแบบปฏิวัติรัฐประหารกันนี้ มิได้หมายถึงการที่กองทัพออสเตรเลีย หรือพรรค หรือขบวนการหนึ่งใด เข้ายึดอำนาจรัฐแบบใช้กำลังดั่งที่เรารับรู้กันโดยทั่วไป หากแต่เป็นการยึดอำนาจกันภายในพรรคการเมือง ซึ่งออสเตรเลียมีพรรคการเมืองหลักแค่ 2 พรรคเท่านั้น และในช่วงประมาณ 16 ปีที่ผ่านมานี้ ในแต่ละพรรค คือพรรคแรงงาน และพรรคเสรี ต่างก็มีการเล่นการเมืองโค่นล้มกันแบบถึงพริกถึงขิง ซึ่งมีสาเหตุหลายสาเหตุ ทั้งความเจ็บแค้นส่วนตัว ความไม่ลงรอยกันในเรื่องนโยบายและมาตรการนำพาประเทศ ในเรื่องวิธีการบริหารพรรคและบริหารประเทศในฐานะฝ่ายรัฐบาล หรือในฐานะฝ่ายค้าน หรือในเรื่องอุดมการณ์ เช่น อนุรักษ์นิยม หรือก้าวหน้า หรือสายกลางในเรื่องโลกร้อน เรื่องการดำเนินการผู้อพยพลี้ภัย หรือนโยบายพลังงาน เป็นต้น
อีกทั้งต่างก็ถูกสื่อวิพากษ์วิจารณ์ และดำเนินการตรวจสอบผลงานการบริหารอย่างเข้มข้น ไม่ลดละ ซึ่งสั่นคลอนความน่าเชื่อถือ และความเป็นผู้นำ จนมักก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว และปฏิกิริยาที่นำไปสู่ความประสงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำพรรค
ในระบบการเมืองของออสเตรเลีย หัวหน้าพรรคเสียงข้างมาก หรือหัวหน้าพรรคของพรรคที่เป็นแกนนำเสียงข้างมากก็จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงตัวหัวหน้าพรรค ก็เท่ากับว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีไปโดยปริยาย โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้ง และโดยไม่ต้องมีการซาวเสียง หรือลงมติในรัฐสภา ฉะนั้นเมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารกันภายในพรรคที่เป็นรัฐบาล ก็เท่ากับว่าได้มีการปฏิวัติรัฐบาลกันในรัฐสภาทันที
ช่วงประมาณ 5 ปีแรก (ของ 10 ปีที่ผ่านมา) พรรคแรงงาน (Labour) เป็นรัฐบาล ที่มีนายกรัฐมนตรี 2 คน โดยเริ่มแรก นาย Kevin Rudd (เควิน รัดด์) เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วถูกโค่นล้มโดยกลุ่มสนับสนุน นางจูเลีย กิลลาร์ด(Julia Gillard) หลังจากนั้น นายเควิน รัดด์ กับกลุ่มก็กลับมาโค่นล้ม นางจูเลีย กิลลาร์ด โดยการปลดออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค
และเมื่อนายเควิน รัดด์ นำพรรคฝ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี ค.ศ. 2013 ทางฝ่ายพรรคเสรี (Liberal) ก็เข้าบริหารประเทศแทนจนกระทั่งบัดนี้ แต่ออสเตรเลียก็มีนายกรัฐมนตรีจากพรรคเสรีแล้วถึง 3 คนนั่นคือ นายโทนี่ แอบบอตต์ (Tony Abbott) นายแมลคัม เทิร์นบุลล์ (Malcolm Turnbull) และบัดนี้ นายสก็อตต์ มอร์ริสัน (Scott Morrison) ซึ่งสาเหตุการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีทั้งหมด ก็มาจากการล้มล้างหัวหน้าพรรคกันเองทั้งสิ้น
รวมความแล้ว ในรอบ 10 กว่าปีมานี้ ออสเตรเลียมีนายกรัฐมนตรีถึง 5 คน (นายเควิน รัดด์ เป็น 2 ครั้งนี้ เท่ากับ 6) ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหารกันเองในพรรคการเมือง
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์แบบนี้ที่กรุงแคนเบอร์รา มิได้เพิ่งเกิดกันครั้งแรกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น หากแต่ได้เกิดมาตั้งแต่ช่วง 20 ปีก่อนแล้ว ถึง 3-4 ครั้ง ที่ทั้งโค่นล้ม หักล้าง เอาชนะกันในพรรค เพื่อเป็นผู้นำพรรค แล้วมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือผู้นำฝ่ายค้าน
กรุงแคนเบอร์ราของออสเตรเลียจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการปฏิวัติยึดอำนาจภายใต้กรอบสังคมเสรีประชาธิปไตย
เมืองหลวงของออสเตรเลียเขา กับของไทยเรา ก็เลยมีความเหมือนที่แตกต่าง นั่นคือทั้งคู่ต่างเป็นเมืองหลวงแห่ง “คู” (Coup) เช่นเดียวกัน หากแต่ต่างกันตรงที่ว่าการแย่งชิงอำนาจที่กรุงแคนเบอร์ราเขาวัดกันด้วย คารม ฝีมือ และการหาเสียงสนับสนุนตามกฎเกณฑ์พรรคการเมืองในระบอบเสรีประชิปไตย แถมเผด็จการกองทัพถอนตัวไป ไทยเราก็ได้เผด็จการรัฐสภามาแทนอีก กรุงเทพฯ จึงเป็นเมืองหลวงแห่งการปฏิวัติยึดอำนาจบนท้องถนน และในตัวองค์การรัฐสภาอีกด้วย
เห็นการที่สังคมโลกยอมรับการชิงอำนาจที่ออสเตรเลียแล้ว บรรดาผู้กระหายอำนาจในเมืองไทยก็คงน่าจะคิดได้ว่า ที่ผ่านมา เหตุใดเมื่อยึดอำนาจมาได้แล้วโลกถึงไม่ยอมรับ คบค้าสมาคมด้วย จนหลายๆ ครั้ง ส่งผลให้เศรษฐกิจชาติตกต่ำ ย่ำแย่
พรรคการเมืองออสเตรเลียอาจจะดูอลเวง แต่กรอบและเนื้อหาประชาธิปไตยเขาเข้มแข็ง และนักการเมืองต้องกลับมาใช้เวลาเพื่อรับใช้บ้านเมืองแทนการหักหาญ
ของไทยเรามีภาวะหนักหน่อย และมากกว่า แต่คนไทยเป็นเสรีชนก็น่าจะฟันฝ่าไปได้ มาร่วมกัน “ปฏิวัติ”อำนาจเผด็จการทุกรูปแบบเท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี