งบประมาณประจำปี 2562 รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีวงเงินรวม 3 ล้านล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบแล้วลดลงไปจากปีงบประมาณ 2561 เป็นจำนวน 50,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.63 งบประมาณเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับรายได้ประชาชาติหรือจีดีพีหรือ Gross Domestic Products ในปี 2562 เท่ากับร้อยละ 17.05
ในขณะที่ปีงบประมาณ2561 นั้นมีวงเงินงบประมาณ 3.05 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.53 ของรายได้ประชาชาติสำหรับงบประมาณด้านป้องกันประเทศและความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมนั้นในระยะ6ปีที่ผ่านมาระหว่างปีงบประมาณ 2557 ถึงปีงบประมาณ 2562 นั้นเปรียบเทียบกับงบประมาณรวมและรายได้ประชาชาติทั้งหมดถือว่าไม่ได้มากนักหากนำไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามที่มีประชากรถึง 99 ล้านคน และสหภาพเมียนมาที่มีประชากร 53 ล้านคน
ปีงบประมาณ 2557 นั้นงบป้องกันประเทศของไทยมียอดรวม 183,819 ล้านบาทเทียบกับรายได้ประชาชาติจำนวน 13,230,301 ล้านบาทเท่ากับร้อยละ 1.39 ปีงบประมาณ 2558 งบประมาณทหารไทยมียอดรวม 192,949 ล้านบาท เทียบกับรายได้ประชาชาติ 13,747,007 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.40 ของรายได้ประชาชาติ ปีงบประมาณ 2559 งบประมาณทหารเป็น 206,461 ล้านบาท เทียบกับรายได้ประชาชาติในปีเดียวกันยอดเงิน 14,533,475 ล้านบาท เท่ากับร้อยละ1.42
ถึงปีงบประมาณ 2560 งบประมาณกลาโหมเพิ่มเป็น 210,777 ล้านบาท เทียบกับรายได้ประชาชาติ 15,452,882 ล้านบาท เทียบกับรายได้ประชาชาติเท่ากับร้อยละ 1.36 เท่านั้น ปีงบประมาณนี้ที่กำลังปิดลงในวันที่ 30 กันยายน 2561 แล้ว คือปี 2561 นั้นประเทศไทยมีงบประมาณทางทหาร 217,312.2 ล้านบาท เทียบกับรายได้ประชาชาติ 16,457,300 ล้านบาท เป็นร้อยละ1.32 ปีงบประมาณ 2562 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 นั้นงบประมาณทางทหารของไทยเท่ากับ 224,448 ล้านบาทเทียบเป็นร้อยละ 1.27 ของรายได้ประชาชาติ 17,592,900 ล้านบาท
ถ้าหากเปรียบเทียบวงเงินงบประมาณทหารของประเทศไทยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาจะพบว่าเพิ่มไม่ได้มากอะไรแม้จะมีการร้องขอเพิ่มจาก 3 เหล่าทัพทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศค่อนข้างมากแต่ปริมาณเม็ดเงินนั้นรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ให้ค่อยๆ เพิ่มแบบค่อยๆ เป็นไปด้วยการจำกัดปริมาณทหารประจำการใน 3 เหล่าทัพในแต่ละปีแม้จะมีเสียงโจมตีจากสื่อสารมวลชนที่ไม่เข้าใจระบบโครงสร้างของกระทรวงกลาโหมและประวัติความเป็นมาของแต่ละเหล่าทัพมากเพียงพอเนื่องจากสื่อสารมวลชนส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดไม่ได้เคยเข้ามารับราชการทหารนั่นเอง
อย่าลืมว่าในระหว่างปีงบประมาณ2522 ถึงปี 2535 เป็นห้วงเวลาที่ประเทศไทยอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมืองมีผู้ก่อการร้ายกระจายไปทั่วประเทศกองทัพทั้ง 3 เหล่ารวมไปถึงโรงเรียนที่ผลิตนายทหารชั้นประทวนและชั้นสัญญาบัตรได้เปิดรับสมัครนักเรียนทหารเข้ามาบรรจุในกองทัพทั้ง 3 เหล่ามากกว่าปกติถึงร้อยละ 35 ถึง 40 เช่นตามปกติควรจะมีทหารชั้นประทวนประมาณ 1,000 อัตราแต่จำเป็นต้องมีทหาร 2,000 อัตรา ส่วนนายทหารสัญญาบัตรแต่ละรุ่นที่รับเข้ามาอัตราปกติจะมี 1,000 อัตราแต่ต้องรับเป็น 1,400 อัตรา
เวลาผ่านไป 30 ปีงบประมาณจำนวนนายทหารชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวนจะมีมากเกินความจำเป็นของกองทัพไทยจะทำอย่างไรในการลดจำนวนและตำแหน่งประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยเหมือนสหรัฐอเมริกาและจีนที่จะเอาเงินงบประมาณมาตั้งเป็นเงินสำรองเลี้ยงชีพและบำเหน็จบำนาญให้ข้าราชการทหารในกองทัพได้ก็จำเป็นต้องตั้งตำแหน่งประจำกองบัญชาการ, ที่ปรึกษา,ฝ่ายเสนาธิการประจำไว้มากเพื่อให้มีตำแหน่งปลดถ่ายกำลังพลได้ ซึ่งปีงบประมาณต่อไปจากนี้อีก 5-6 ปี ปริมาณการแต่งตั้งพระราชทานยศนายพลในกองทัพทั้ง 3 เหล่าจะลดลงเป็นปกติไม่มากเป็นพันนายอย่างปี 2562
เมื่อวิเคราะห์ตัวเลขงบประมาณทหาร 5 ปีย้อนหลังจะพบความเป็นจริงว่าปริมาณเม็ดเงินของกระทรวงกลาโหมจะปรากฏดังนี้ปีงบประมาณ 2558 มีวงเงิน192,949 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2559 วงเงิน 206,461 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เท่านั้นปีงบประมาณ 2560 งบประมาณเป็น 210,777 ล้านบาท เทียบกับปี 2559 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เท่านั้นปีงบประมาณ 2561 วงเงินเป็น 217,312.2 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2560 ร้อยละ 3.10 ปีงบประมาณ 2562 วงเงินงบประมาณ 224,448 ล้านบาทเพิ่มจากปี 2561 ร้อยละ 3.28
ปัจจุบันการบรรจุกำลังพลในแต่ละเหล่าทัพไม่ได้บรรจุกำลังเข้าไปจนเต็มอัตราแม้แต่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ที่มีการก่อการร้ายนั้นกำลังพลในกองประจำการที่สำคัญรวม 4 หน่วย ได้แก่ พลตรีกฤษดา พงษ์สามารถเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5,พลตรีสมดุลย์ เอี่ยมเอก เป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15, พลตรีจีรัชญ์ บุญชญา เป็นผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 4 และ พลตรีเกรียงไกร ศรีรักษ์เป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการช่วยรบที่ 4 ก็ไม่ได้เต็ม 100% รวมทั้งกองกำลังทหารพรานที่มีกรมทหารพราน9 กรม คือ กรมที่ 41 ถึง 49 ก็ไม่ได้มีการบรรจุอัตรากำลัง 100% หรือ 1,500 กว่านายแต่อย่างใด
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี