เชื่อหรือไม่ครับว่าประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างอินโดนีเซียนั้น ได้รับการยอมรับว่ามีพัฒนาการด้านการต่อต้านคอร์รัปชันที่ดีอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งในประเทศตัวอย่างที่องค์กรสหประชาชาติยกเป็นกรณีศึกษาของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้คอร์รัปชัน โดยพัฒนาการนี้ดูได้จากคะแนนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index: CPI) ที่จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ที่เคยจัดอันดับให้อินโดนีเซียอยู่ท้ายตารางในช่วงปี พ.ศ.2538-2542 แต่สามารถก้าวกระโดดขึ้นมาอยู่กลางตารางใกล้เคียงกับประเทศไทยได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลชี้วัดของประเทศไทยที่แทบจะไม่มีการพัฒนาขึ้นเลย ก็จะเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนทีเดียว
สาเหตุที่บทความนี้เลือกให้ความสนใจประเทศอินโดนีเซียนี้ ไม่ใช่เพราะความโดดเด่นในการพัฒนาการนี้เท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่ไม่แตกต่างจากประเทศไทยมากจนเกินไปสามารถเรียนรู้และถอดบทเรียนบางประการมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้
ดังนั้นคำถามที่สำคัญต่อเหตุการณ์นี้คือ อะไรที่เป็นปัจจัยต่อความสำเร็จนี้ของอินโดนีเซีย จากการศึกษาเบื้องต้นโดยศูนย์ SIAM lab ของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าอินโดนีเซียมียาวิเศษ 3 ขนานที่ช่วยป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ยาขนานแรกคือ องค์กรหลักในการป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันที่สามารถทำงานได้อย่างเข้มแข็ง ยาขนานที่สอง สื่อมวลชนที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมาและยาขนานสุดท้ายซึ่งสำคัญที่สุดคือ ประชาชนที่ตื่นรู้สู้โกง ที่น่าสนใจมากคือ ยาทั้งสามขนานนี้ทำงานร่วมกันและส่งเสริมกันอย่างเป็นระบบ
องค์กรหลักที่ทำงานป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันในอินโดนีเซียก็คือ คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตของอินโดนีเซีย ที่มีชื่อว่า Komisi PemberantasanKorupsi หรือที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในประเทศว่า KPK (อ่านออกเสียงว่า คะ-ปิ-คะ) องค์กรนี้ได้รับการยกย่องอย่างมากจากทั้งนานาชาติและประชาชนในประเทศ เคยได้รับรางวัลแมกไซไซในปี พ.ศ.2556 และที่สำคัญคือได้รับการโหวตจากประชาชนอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่องให้เป็นองค์กรสาธารณะที่น่าเชื่อถือศรัทธามากที่สุด โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ศึกษาพบว่ามีปัจจัย ٥ ประการ ที่ทำให้ KPK ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้มแข็ง ได้แก่ หนึ่ง การออกแบบเชิงสถาบันที่รอบคอบและรัดกุม สอง ขีดความสามารถของบุคลากรและทรัพยากร สาม ความเป็นอิสระและเป็นกลาง สี่ แรงสนับสนุนจากสื่อและประชาสังคม และห้า บรรยากาศประชาธิปไตย
เมื่อปลายเดือนก่อนผมได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาการทำงานของ KPK ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย จึงได้เห็นการทำงานอย่างเป็นระบบโดยมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยสนับสนุน ทีมงาน KPK ได้นำเสนอกระบวนการเปิดเผยและตรวจสอบทรัพย์สินของข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองที่ล้ำหน้ามาก โดยผู้ที่ต้องเปิดเผยข้อมูลสามารถบันทึกข้อมูลทั้งหมดผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งระบบจะเตือนหากใส่ข้อมูลไม่ครบหรือผิดที่ เพื่อป้องกันข้ออ้างที่เราคุ้นเคยว่า ลืม หรือ เขียนผิด หลังจากนั้นระบบจะช่วยเจ้าหน้าที่วิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลดังกล่าวผ่านเกณฑ์คัดกรองที่ตั้งไว้ล่วงหน้าหากมีข้อมูลน่าสงสัยระบบก็จะเตือนให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ โดยการตรวจสอบก็ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขเฉยๆ แต่มีการวิเคราะห์วิถีชีวิต หรือ Life Style ของผู้นั้นด้วย เช่น บันทึกไว้ว่ามีทรัพย์สินและรายได้นิดเดียว แต่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่า เช่น ไปตีกอล์ฟที่สนามราคาแพงเป็นประจำ KPK ก็จะเรียกผู้นั้นมาสัมภาษณ์หาข้อเท็จจริงต่อไป นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ระบบที่ KPK ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้ามาช่วยในการทำงาน
ในการเดินทางไปศึกษางานครั้งนี้ผมจึงได้พบกับยาวิเศษขนานที่สองของอินโดนีเซียด้วยคือสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งและตรงไปตรงมา นอกจากการทำหน้าที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการคอร์รัปชันของข้าราชการและนักการเมืองอย่างต่อเนื่องโดยเจาะลึกไปที่การเปิดโปงระบบและกระบวนการทุจริต ไม่ใช่เพียงการประณามคนโกงเท่านั้นแล้ว สื่อมวลชนอินโดนีเซียยังมีส่วนอย่างมากในการประสานความร่วมมือระหว่าง KPK กับองค์กรภาคประชาสังคมและประชาชนผ่านรูปแบบการเสนอข่าวแบบส่งเสริมการมีส่วนร่วม โดยประเด็นนี้งานวิจัยเรื่องภาษากับการคอร์รัปชันที่ผมร่วมศึกษากับ ดร.นฤดล จันทร์จารุ จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ค้นพบว่าเมื่อเปรียบเทียบรูปแบบการเสนอข่าวและภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร สื่อของอินโดนีเซียจะเน้นกล่าวถึงปัญหาคอร์รัปชันเชิงระบบและการแก้ไขด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน ในขณะที่สื่อไทยจะเน้นตัวบุคคลและความรุนแรงของปัญหา หรือกล่าวง่ายๆคือเน้นสร้างเรื่องดราม่านั่นเอง
ความโดดเด่นของสื่ออินโดนีเซียในประเด็นนี้จึงนำมาซึ่งยาวิเศษขนานที่สามนั่นคือ พลเมืองตื่นรู้สู้โกง จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าอินโดนีเซียมีกลุ่มภาคประชาสังคมที่ทำงานส่งเสริมธรรมาภิบาลและต่อต้านคอร์รัปชันเป็นหลักร้อย สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ถึงขั้นที่สามารถรวมตัวกันกดดันไม่ให้ประธานาธิบดีแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจที่มีประวัติด่างพร้อยได้และผลักดันให้มีการตรวจสอบนักการเมืองใหญ่ที่ใช้งบประมาณไม่ถูกต้องจนถูกนำตัวมาลงโทษจริง นอกจากนี้กลุ่มประชาสังคมเหล่านี้ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ KPK อีกด้วย ครั้งหนึ่งที่รัฐบาลตัดงบประมาณของ KPK กลุ่มภาคประชาสังคมเหล่านี้ก็รวมตัวกันออกมาชุมนุมเพื่อระดมทุนไปสนับสนุน KPK ให้สามารถดำเนินงานต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินจากรัฐบาล กลายเป็นการเคลื่อนไหวใหญ่ภายใต้ชื่อ “#savekpk” เลยทีเดียว
หลักความร่วมมือของยาทั้งสามขนานคือภาครัฐ สื่อ และประชาชนของอินโดนีเซียจนนำมาสู่ความสำเร็จเช่นนี้ ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประเทศไทยก็มีการพูดถึงเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้วในชื่อ สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา โดย นพ.ประเวศ วะสี ดังนั้นบทเรียนสำคัญที่เราเรียนรู้จากความสำเร็จของอินโดนีเซียที่สามารถนำมาประยุกต์กับประเทศไทยได้ คือ การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพราะนอกจากจะมีพลังมากในการผลักดันและกดดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้จริงแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้ทุกองค์กรในแต่ละภาคส่วนอีกด้วย
จะจบด้วยประโยคสวยๆ ว่าทุกคนต้องร่วมมือกัน ผมก็เกรงว่าผู้อ่านหลายท่านจะเบื่อและไม่เห็นประโยชน์จริง เพราะอ่านเจอมาเยอะแล้วแต่ก็ไม่เห็นว่าจะทำได้จริงเสียที ผมจึงขอทิ้งท้ายด้วยความหวังที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นจากงานวิจัยเรื่องการสร้างเครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย ที่ SIAM lab กำลังศึกษาวิจัยอยู่เพื่อหาข้อเสนอในการสร้างระบบการทำงานร่วมกันที่สามารถทำได้จริงและยั่งยืน โดยมีข้อเสนอเบื้องต้นว่าจะต้องมีองค์กรกลางที่ทำหน้าที่ประสานเชื่อมโยง ติดตาม และพัฒนาการทำงานอย่างเป็นระบบ โดยองค์กรกลางนี้ต้องทำงานอย่างมีหลักการ และมีการประเมินผลการทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยใช้การใช้การคำนวณทางสถิติภายใต้กรอบทฤษฎี Social Network Analysis เพื่อปรับปรุงรูปแบบการสร้างความร่วมมือให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งผมจะขอนำรายละเอียดข้อเสนอนี้มาอธิบายในตอนต่อๆ ไปนะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี