สาเหตุที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในพระราชอาณาจักรไทย ไม่ก้าวไปไหนและไม่พัฒนา อาจเป็นเพราะว่าการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เริ่มต้นจากการเอาแต่ใจของนักประชาธิปไตยหัวร้อน ดังที่ ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงคนสำคัญ สารภาพกับพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ สมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 7 ว่า “ข้าพุทธเจ้าตอนนั้นยังเด็ก คิดอะไรมันรุนแรงเกินไปไม่นึกว่าจะลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ก็ไม่ทำ...” (จากหนังสือเบื้องแรก
ประชาธิปไตย)
นายปรีดี หัวหน้าผู้ก่อการฝ่ายพลเรือนสมคบกับพระยาพหลพลพยุหเสนา หลอกนักเรียนทหารออกมาปล้นพระราชอำนาจ เมื่อเช้ามืดวันที่ 24 มิ.ย. 2475 แล้วประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นประชาธิปไตยรัฐสภา ซึ่งเวลานั้นในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงเตรียมพระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองประชาธิปไตยอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่รอเวลาฤกษ์พานาทีเท่านั้น แต่กลุ่มคนที่เรียกว่าคณะราษฎรร้อนวิชาบ้าทฤษฎีชิงยึดอำนาจตัดหน้า ในขณะที่ยังไม่พร้อมทุกๆ ด้าน แม้แต่วันปล้นพระราชอำนาจคณะราษฎร ต้องไปเกณฑ์ชาวบ้านมาฟังแถลงการณ์ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า คำประกาศเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
ประชาชนจำนวนมากสงสัยว่า “ประชาธิปไตย มันเป็นลูกพระยาพหลฯหรือไม่” และเมื่อยึดอำนาจมาได้ แล้วประกาศใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตย จำต้องมีรัฐสภา มีทำเนียบรัฐบาล มีกระทรวงทบวงกรมฯ คณะราษฎรที่ไม่มีแผนงาน ไม่มีทรัพยากรพร้อมสักอย่างหันซ้ายหันขวา ไปยึดพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นรัฐสภา ยึดวังเจ้าเป็นกระทรวงที่ทำงานของรัฐมนตรี ยึดบ้านนรสิงห์และบ้านพิษณุโลกเป็นทำเนียบและบ้านพักรับรองรัฐบาล ทุบทำลายวังเจ้ามาสร้างเป็นสนามกีฬา
แม้แต่สถานที่เสด็จลงทรงพระเกษมสำราญของรัชกาลที่ 5 คณะราษฎร ยังขอพระราชทานมาทำเป็นสวนสัตว์เขาดินวนา สรุปว่ามี 25 ปี ในการบริหารประเทศแบบใช้อำนาจทรราช หลังจากปล้นพระราชอำนาจมา คณะราษฎร ไม่สร้างอะไรให้กับแผ่นดินไทย นี้คือสาเหตุที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยไม่ก้าวไปไหน เพราะประเทศไทยเริ่มต้นจากนักประชาธิปไตยใจร้อน อยากได้อะไรต้องให้ได้ดั่งใจ ต้องให้ได้ในทันทีทันใดทั้งๆที่ไม่พร้อมทุกด้าน อุปมาดังการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย วันนี้ในปี 2561 นักการเมือง สื่อและสังคมใจร้อนเรียกร้อง กดดันให้มีการเลือกตั้งให้เร็วไว ให้ได้ดังใจทั้งๆ ที่องค์ประกอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังไม่มีส่วนไหนพร้อมสมบูรณ์ นักการเมืองโหวกเหวกโวยวาย กล่าวหาด่าว่าใส่ร้ายกันเรื่องหาเสียง เรื่องซื้อเสียง
ตั้งแต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและว่าด้วยการเลือกตั้งวุฒิสภา ยังไม่ประกาศใช้ ทั้งสื่อ สังคมและนักการเมืองพากันกล่าวหา คณะผู้รักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าเตรียมการสืบทอดอำนาจ ถ่วงเวลาประชาธิปไตยเลื่อนการเลือกตั้งออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนเชื่อถือไม่ได้ สื่อนักการเมืองและสังคมไทย เรียกร้องโวยวายราวกับไม่สำเหนียกว่าประเทศไทยปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช.ประกาศเมื่อคราวไปเยือนอังกฤษและฝรั่งเศสว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปตามโรดแมปคือในต้นปี 2562 และการเลือกตั้งจะมีขึ้นหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ 10 จนวันนี้ยังไม่มีหมายกำหนดการ ลงมาว่าพระราชพิธีสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยจะมีในช่วงเวลาไหน
แต่ในแวดวงการเมืองไทย ได้ตั้งตุ๊กตากันไว้ว่าอย่างเร็วที่สุดคือเลือกตั้งวันที่ 24 ก.พ. 2562 ถ้าไม่เป็นประชาธิปไตยใจร้อนเกินไป สังคมไทยน่าจะมีสติยั้งคิดว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจและอยู่คู่กับสังคมไทยมากว่า 700 ปี ทุกครั้งที่ผลัดแผ่นดินหรือเปลี่ยนรัชกาลใหม่ งานพระราชพิธีสำคัญต้องทำตามฤกษ์พานาทีตามโบราณราชประเพณี
นอกจากนี้เมื่อเปลี่ยนรัชกาลใหม่ อาจต้องเปลี่ยนแปลงจัดระเบียบภายในราชสำนัก ในพระตำหนักในเขตพระราชฐาน ตลอดถึงการปรับภูมิทัศน์ใหม่ ซึ่งหมายกำหนดการพระราชพิธีสำคัญตลอดถึงการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงใดๆล้วนเป็นพระราชอำนาจและพระราชวินิจฉัย โดยเฉพาะการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในเขตพระราชฐานเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องเป็นไปตามพระราชวินิจฉัย ปัจจุบัน ลานพระบรมรูปทรงม้า พระที่นั่งอนันตสมาคม ได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ ที่สำคัญอาคารรัฐสภาปัจจุบัน ซึ่งสมควรต้องย้ายจากเขตพระราชฐาน ไปอยู่สถานที่ใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ย.ปี 2558 แต่จนวันนี้รัฐสภายังย้ายไม่ได้
นั้นหมายความว่าหากมีเลือกตั้งต้นปีหน้า นักการเมือง สส. และ สว.ที่ได้รับเลือกเข้ามาใหม่ต้องใช้รัฐสภา ซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานต่อไป รัฐสภาแห่งใหม่ ที่ชื่อว่า “สัปปายะสภาสถาน” ได้เริ่มวางเสาเข็มตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556 โดยมีบริษัทชิโนไทยเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งกำหนดเดิมต้องแล้วเสร็จภายใน 900 วัน หรือในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 แต่ปัจจุบันโครงการได้ล่าช้าออกไป เนื่องจากปัญหาการส่งมอบพื้นที่และการปรับรายละเอียดแบบก่อสร้างในบางส่วน ทำให้โครงการได้เลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2563
ตามที่ได้รับคำชี้แจงจากสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและผู้แทนจากบริษัทชิโนไทย ว่า “หากไม่มีข้อขัดข้องจากการอนุมัติงบประมาณจัดซื้อจัดจ้าง อุปกรณ์ ไอทีและระบบสนับสนุนการประชุมอื่น กำหนดแล้วเสร็จที่สรุปใหม่เป็นดังนี้..”
1)ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2561 ส่งมอบส่วนอาคารสำนักงานของเลขาธิการวุฒิสภาประมาณ 10,000 ตร.ม. เพื่อให้ข้าราชการวุฒิสภา และสภาผู้แทนฯ(แบ่งใช้ชั่วคราว) พร้อมที่จอดรถใต้ดินบางส่วน
2)ในวันที่ 31 มี.ค. 2562 ส่งมอบพื้นที่ส่วนห้องประชุมคณะกรรมาธิการ สว.
3)ในวันที่ 30 มิ.ย. 2562 ส่งมอบพื้นที่ห้องประชุมวุฒิสภาความจุ 300 ที่นั่ง (ห้องจันทรา) และห้องประชุมรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎรความจุ 800 ที่นั่ง(ห้องสุริยัน)
4)ส่วนห้องประชุมคณะกรรมาธิการสส.และอาคารสำนักงานข้าราชการ สส. คาดว่าหากไม่มีอุปสรรคอื่นจะส่งมอบใน 6 เดือนถัดไป
จากการชี้แจงของผู้รับเหมาก่อสร้าง สัปปายะสภาสถาน แสดงว่าพื้นที่ห้อง (ห้องจันทรา) ประชุมวุฒิสภามีความจุ 300 ที่นั่ง และห้องประชุมรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎร (ห้องสุริยัน) มีความจุ 800 ที่นั่ง ส่งมอบในวันที่ 30 มิ.ย. 2562 นั้นหมายความว่าถ้าเลือกตั้งในเดือนก.พ. 2562 สส.ชุดใหม่ 500 คน กับ สว. ชุดใหม่ 250 คน ต้องใช้สถานที่ประชุมซึ่งอาจมีความวุ่นวาย ในเขตพระราชฐานและใกล้พระที่นั่งอัมพรสถาน ซึ่งเป็นที่ประทับของในหลวงรัชกาลที่ 10 ต่อไป
ดูจากกำหนดมอบงานที่บริษัทผู้ก่อสร้าง สัปปายะสภาสถาน แจ้งต่อสำนักเลขาฯรัฐภาแสดงว่าต้องหลังจากเดือน มิ.ย. 2562 รัฐสภาใหม่จึงใช้เป็นสถานที่ประชุมได้ ดังนั้นหลังจาก พ.ร.ป. ประกาศใช้ในเดือนกันยายน นี้ คสช. ต้องเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองได้เคลื่อนไหว ประชุมพรรค จัดตั้งกรรมการบริหารพรรค และหาสมาชิกใหม่ เพื่อได้เตรียมการทำไพรมารีโหวต ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกนักการเมืองเข้ามาเป็นผู้แทนฯในสภา ส่วนกำหนดวันเลือกตั้งกาปฏิทินไว้กลางปีหน้า ก็ไม่ช้าจนเกินไป หกสิบแปดปีก่อนประชาธิปไตยเริ่มต้นด้วยการปล้นพระราชอำนาจ ริบพระราชสมบัติ ใช้อำนาจยึดเขตพระราชฐานเป็นที่ทำงาน ตลอดถึงการคุกคามสถาบันฯ
ถึงวันนี้การคุกคามสถาบันในรูปแบบใหม่ยังไม่หมดไป กลุ่มการเมืองที่มีข้อครหาว่าอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันยังคงกระสันจะกลับมามีอำนาจครั้งใหม่ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ฝ่ายการเมืองจะคืนเขตพระราชฐานให้สถาบันฯ การจัดระเบียบปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หมายกำหนดการพระราชพิธีตามที่ทรงพระวินิจฉัย เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี