ประเด็นร้อนๆ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาสำหรับคอการเมือง ในส่วนของภาคธุรกิจโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ ปตท.หลายคนคงจะทราบกันแล้วนะครับว่า มีความเคลื่อนไหวจากประธานกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ คุณกรณ์ จาติกวณิช ที่ออกโรงมาปกป้องสิทธิของ เอกชนรายย่อย ผู้ประกอบการรายได้น้อย และพ่อค้าแม่ขายตัวเล็กๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายครั้งล่าสุดของปตท.
ประเด็นดังกล่าวเป็น 2 เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกันในเรื่องของหลักการทางแนวคิดและนโยบาย ปตท.มองในมุมของผู้ประกอบการที่มุ่งประโยชน์ของกำไรบริษัท และผู้ถือหุ้นเป็นหลัก โดยอาจมองข้ามประเด็นสำคัญในแง่ความเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดูแลความมั่นคงเรื่องพลังงานไปบ้าง
คุณกรณ์ จาติกวณิช จึงได้เตรียมดำเนินการยื่นเรื่องนี้ต่อ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในประเด็นเรื่อง ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า หรือที่สรุปสั้นๆ ได้ว่า ปตท.จะให้บริษัทลูกของตัวเอง หรือ GPSC เข้าซื้อ Glow ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าที่หากซื้อเข้ามาแล้วจะทำให้ปตท.สยายปีกเป็นผู้เล่นใหญ่ในอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า และจะมีบทบาทให้คืบคลานเข้ามาในวงการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนประชาชนต้องกลับไปถามว่า.. แล้ว กฟผ.ล่ะ !?
คุณกรณ์ได้พยายามอธิบายไว้อย่างละเอียดในแนวคิดและหลักการดังนี้ครับ
ประเด็นแรก คุณกรณ์ได้สะท้อนถึง “ความคาดหวังจาก ปตท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจไทยที่เป็น “National Champion” และเหตุผลที่การซื้อบริษัทผลิตไฟฟ้า Glow และยุทธศาสตร์ Cafe Amazon จึงเป็นเรื่องอันตราย”
ความที่ปตท.เป็นองค์กรชั้นนำของประเทศ เป็นที่รวมผู้มีความสามารถ ปตท.ควรที่จะต้องใช้ศักยภาพและทรัพยากรของตนในการสร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยการลงทุนขยายกิจการไปในตลาดต่างประเทศ หรือหากจะทำธุรกิจในประเทศ ก็ควรลงทุนทำธุรกิจใหม่ๆที่มีผลในเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ มากกว่าที่จะทำในสิ่งที่ผู้ประกอบการคนไทยเจ้าอื่นทั่วไปเขาสามารถจะทำได้ และนี่คือบทบาทที่แท้จริงของ National Champion !! คุณกรณ์ กล่าวไว้ด้วยความชื่นชมต่อองค์กรใหญ่และย้ำในงานด้วยว่า ไม่ได้เห็นด้วยกับกลุ่มที่จะทวงคืนพลังงานแต่อย่างใด แต่ต้องการเห็น “การแข่งขันที่เสรี เป็นธรรมและเท่าเทียม”
พร้อมย้ำว่า สิ่งที่ปตท. ไม่ควรทำ คือใช้อำนาจทางการตลาด (ที่ได้มาจากความได้เปรียบในฐานะรัฐวิสาหกิจ) ในการทำธุรกิจในลักษณะที่ทำให้คนอื่นเสียเปรียบ ซึ่งว่าไปแล้วนอกจากจะขัดต่อกฎหมายจัดตั้งปตท. แล้วยังน่าจะขัดรัฐธรรมนูญอีกด้วย
ในวันที่ 10 กันยายนนี้ ช่วงเช้าครับ คุณกรณ์จะยื่นร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจในสองกรณีที่เกี่ยวกับปตท.
เรื่องแรก คือ กรณีที่ปตท. ใช้บริษัทลูกของตน GPSC เข้าซื้อหุ้น 69% ในบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนชื่อ GLOW ซึ่งปัญหาสำคัญคือ
1.ปตท. เป็นผู้ขายก๊าซผูกขาดให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าทุกโรงในประเทศไทย ดังนั้นหากปตท. ลงมาผลิตไฟฟ้าเอง จะทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าบิดเบี้ยวทันที โดยที่ผู้ที่จะรับเคราะห์สุดท้ายก็คือประชาชนในฐานะผู้ซื้อไฟ
2.ปตท. จัดตั้งขึ้นมาตาม พ.ร.บ. การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย มีภารกิจเจาะจงให้ทำธุรกิจปิโตรเลียมเท่านั้น
3.รัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดว่ารัฐห้ามทำธุรกิจแข่งกับเอกชน (มาตรา ๗๕) ดังนั้นปตท. จะทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าแข่งกับเอกชนไม่ได้
4.หากอ้างความมั่นคง ผมคงต้องถามว่า แล้วเรามี›การไฟฟ้าฝ่ายผลิต› ไว้ทำอะไร?!
ส่วนเรื่องที่สองคือ “กาแฟอเมซอน”
เรื่องนี้อ่านแล้วอาจจะคิดว่าเรื่องเล็กนะครับ แต่มันคือเรื่องแบบนี้ที่ทำให้ผู้ประกอบการ และคนไทยทั่วไปมีโอกาสในการทำมาหากินน้อยลงไปเรื่อยๆ ในช่วงแรกๆ ที่ปตท. เปิดร้านกาแฟในปั๊ม
น้ำมัน ผมก็มีความรู้สึกว่าไม่เป็นปัญหา แต่พอระยะหลังเริ่มออกมาเปิดสาขามากขึ้นตามห้าง และบนท้องถนนในหัวเมืองทั่วประเทศ
เรื่องนี้ไม่ถูกต้องและเป็นการแข่งขันโดยตรงกับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีทางจะสู้ได้ด้วยกำลังทุนที่ต่างกันฟ้ากับดิน
ทำแบบนี้ เอกชนที่สายป่านสั้นกว่าเขาจะอยู่รอดอย่างไร
ในภาพใหญ่เราต้องใส่ใจกับเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรม และเรื่องอิทธิพลทุนใหญ่ จุดเริ่มต้นที่ดีคือรัฐเองอย่าไปเบียดพื้นที่หากินชาวบ้าน
ถัดมาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ระหว่างที่กำลังเตรียมประเด็นเนื้อหาให้ครบถ้วนและรัดกุม ก็มีการได้รับประสานจากทีมผู้บริหารของปตท.เพื่อชี้แจงให้ประเด็นต่างๆ คุณกรณ์ก็ได้ออกมาอธิบายอย่างตรงไปตรงมาอีกรอบหนึ่ง ดังนี้ครับ
ในช่วงที่โพสต์แรกปรากฏในสื่อนั้น มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนเต็มที่เพราะเชื่อมั่นในการแข่งขันที่เสรี เป็นธรรม ทุนใหญ่ทุนเล็กต้องเท่าเทียม แต่ก็มีบางความคิดเห็นที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนกลัวว่าจะไปลดสมรรถภาพของปตท. ซึ่งในความจริงคือ อยากสนับสนุนด้วยซ้ำให้แสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในต่างประเทศ รวมไปถึงย้ำอีกครั้งนะครับว่า กรณีนี้คือเรื่องการซื้อธุรกิจไฟฟ้า และกาแฟ ไม่เกี่ยวกับการทวงคืนพลังงานแต่อย่างใด
ในกรณีไฟฟ้าทางฝ่ายปตท. ได้พูดถึงจุดเริ่มแรกการทำธุรกิจไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการของปตท. เอง และเมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ GLOW เสนอขายก็ได้พิจารณาตามเงื่อนไขธุรกิจทั่วไป โดยปตท. มองว่าการควบรวมกับ GLOW มีประโยชน์กับกิจการที่มีอยู่เดิม และจะทำให้ปตท. (GPSC) เป็นผู้ผลิตใหญ่อันดับที่สามในประเทศ
ปตท. อธิบายต่อคุณกรณ์ว่า จะไม่มีผลกระทบกับลูกค้าปัจจุบันของ GLOW และการซื้อก๊าซก็ต้องซื้อในเงื่อนไขเดียวกันกับผู้ผลิตรายอื่น
แต่คุณกรณ์ก็ยังคงย้ำจุดยืนเดิมว่า ถึงแม้ว่า ปตท. เป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าปตท. มีสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต่างจากบริษัทอื่นๆ เนื่องจากปตท. มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นปตท. ต้องระมัดระวังไม่ใช้ฐานความเข้มแข็งจากความเป็นรัฐ ในการข้ามไปแข่งในธุรกิจของผู้อื่น
คงไม่มีปัญหาหากปตท.เพียงผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือจำกัดการเปิดร้านกาแฟในปั๊มนํ้ามัน ปัญหาเกิดจากการขยับขยายออกมาแข่งกับชาวบ้าน
ในกรณีการผลิตไฟฟ้านั้นยิ่งมีความชัดเจน เพราะบริษัทผลิตไฟฟ้าทุกบริษัทเป็น “ลูกค้า” ของปตท.
และได้เปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจนว่าหากการท่าอากาศยาน (ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกัน) ตัดสินใจลงทุนทำสายการบินของตนเอง เราก็คงมองว่านั่นจะเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับสายการบินอื่นที่ล้วนเป็นลูกค้าเดิมของการท่าฯ และเป็นการทำในสิ่งที่ไม่ใช่พันธกิจขององค์กร
ส่วนเรื่องอเมซอน ข้อสรุปจากการสนทนา ได้ความว่าปตท. ตกลงที่จะกลับไปคิดหาคำตอบในข้อเสนอ และในประเด็นที่ทางฝ่ายประชาธิปัตย์มีความกังวล
1.ปตท. จะพิจารณาว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ใช่อเมซอนอย่างไร โดยเฉพาะรายย่อย (ทุน/อุปกรณ์/พื้นที่การขาย) เพราะนั่นคือบทบาทการส่งเสริมอุตสาหกรรมกาแฟที่แท้จริงของรัฐ
2.ปตท. จะพิจารณาว่าจะเปิดพื้นที่ปั๊มน้ำมันให้ผู้อื่นแข่งขันอย่างเป็นธรรมได้อย่างไร(ปัจจุบันถึงแม้มีเจ้าอื่นขายกาแฟในปั๊มปตท.อยู่บ้างแต่ปตท.ก็กำหนดเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดในการแข่งขันเช่นจำกัดสิทธิการโฆษณาหรือแม้แต่ประเภทขนมที่ขายได้)
3.ปตท. จะพิจารณานโยบายว่าจะจำกัดจำนวนสาขาอย่างไร เพราะเรามีประสบการณ์จากร้านสะดวกซื้อแล้วว่าหากปล่อยให้ขยายได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ได้ส่งผลอย่างไรกับกิจการโชห่วยของชาวบ้าน
4.ปตท. จะหาแนวทางที่จะส่งเสริมเกษตรกรที่ประสงค์จะเปลี่ยนมาปลูกกาแฟ (ยกตัวอย่าง เช่น ชาวสวนยางในภาคใต้ หรือสวนลำไยในภาคเหนือ)
5.ปตท.จะหาแนวทางช่วยชาวไร่กาแฟไทยเพื่อเพิ่มโอกาสให้ชาวไร่สามารถขายเมล็ดกาแฟให้ปตท.ได้มากขึ้น (ปัจจุบันเป็นน่าจะมีการซื้อเมล็ดกาแฟจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านคนกลางในปริมาณที่มากอยู่)
6.ด้วยคุณค่าของแบรนด์ “อเมซอน” ที่ปตท. สร้างขึ้นมา เพียงแต่คิดว่าเอกชนรายอื่นไม่ควรต้องมาแข่งกับรัฐ แม้ปตท.บอกว่าเขาจะขายหุ้นบางส่วนในตลาดหลักทรัพย์ แต่นั่นยิ่งเป็นการเพิ่มความได้เปรียบในแง่กำลังทุน และปตท.ก็ยังจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดอยู่ดี ผมจึงได้แสดงความเห็นกับปตท. ว่าปัญหาทั้งหมดจะหมดไปหากปตท.แปรให้กิจการอเมซอนเป็นของเอกชนทั้งหมด (ยกตัวอย่างคือขายให้กับผู้บริหารและเจ้าของ franchise ปัจจุบัน รวมไปถึงประชาชนทั่วไป แต่อย่าขายให้ทุนใหญ่) เพื่อให้เอกชนไทยเจ้าอื่นสามารถแข่งขันกับอเมซอนอย่างเป็นธรรมได้มากขึ้น และจะทำให้กิจการกาแฟไม่ขัดรัฐธรรมนูญที่ห้ามรัฐแข่งกับเอกชน
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ปตท. มีบทบาทที่สร้างสรรค์และเป็นที่ชื่นชมของประชาชนคนไทยมากยิ่งขึ้น คุณกรณ์สรุปจบเอาไว้ว่า ตัวเองนั้นไม่ได้มีอำนาจจะมาบังคับใครทำอะไร และนั่นไม่ใช่เจตนา แต่ในขณะเดียวกัน มองว่าประเด็นเรื่องบทบาทของรัฐ และเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรมมีความสำคัญมากในการสร้างสังคมและระบบเศรษฐกิจที่ยุติธรรมและมั่นคง และจึงเป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่จะต้องใส่ใจ
ข้อสรุปจากวันนี้คือ เราเข้าใจกันมากขึ้น แต่ยังเห็นต่างในหลายประเด็น จึงจะเดินหน้ายื่นคัดค้านการซื้อหุ้น GLOW โดย ปตท. และจะรอฟังความชัดเจนในประเด็นที่เรียบเรียงไว้ 6 ข้อ ในกรณีธุรกิจกาแฟ
เนื่องจากส่วนหนึ่งของปัญหาเป็นประเด็นทั้งทางนโยบายและทางกฎหมาย จึงจะยื่นร้องเรียนการซื้อหุ้น GLOW ต่อท่านนายกฯ และท่านรัฐมนตรีพลังงาน พร้อมกับยื่นร้องเรียนกับ
ผู้ตรวจการแผ่นดิน
ทั้งหมดนี้จะดำเนินการในวันจันทร์ที่ 10 กันยายนนี้ เวลา 10 โมงตรง ที่ทำเนียบรัฐบาล ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี