หน้าที่ของ “กฎหมาย” คือจัดระเบียบ คุ้มครอง ป้องกัน แต่ดูเหมือนว่า กฎหมายที่เรียกว่า ร่าง พ.ร.บ.ยา พ.ศ. … กำลังผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากหน้าที่ดังกล่าว เป็นเหตุให้นำมาสู่การเคลื่อนไหวของบุคลากรในวงวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ที่มีทั้งหนุนและค้าน แต่หนักไปทางคัดค้าน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมไม่เข้าใจ หรือเข้าใจคลาดเคลื่อนไปก็คือ เภสัชกรออกมาคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ เพราะห่วงผลประโยชน์หรือหวงแหนพื้นที่ทางวิชาชีพของตน
ตั้งสติ ตั้งหลักกันก่อนครับ ก่อนที่ “อคติ” จะเข้ามาแทนที่ “สติ”
ก่อนอื่น ให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ของ “เภสัชกร” กันเสียก่อน
เภสัชกร วินิจฉัยโรคได้ แต่ก็ไม่ละเอียดเท่าแพทย์, เภสัชกร ตรวจเลือด ตรวจน้ำได้ แต่คงตรวจละเอียดได้ไม่เท่าเทคนิคการแพทย์, เภสัชกร ทำกายภาพเบื้องต้นได้ แต่ไม่ชำนาญเท่านักกายภาพบำบัด, เภสัชกร ให้การดูแลผู้ป่วยได้ แต่คงไม่ชำนาญและดีกว่าพยาบาล
ดังนั้น การให้บริการด้านสุขภาพแก่ผู้ป่วย จึงเป็นการ “ทำงานร่วมกัน” ในลักษณ์ที่เรียกว่า “สหวิชาชีพ” โดยมีวัตถุประสงค์เดียวคือ ความรอบคอบและปลอดภัย ในการดูแลรักษาผู้ป่วย
ในการทำงานนั้น มี “มาตรฐานทางวิชาชีพ” มี “จรรยา” ในวิชาชีพ และ “มาตรฐานสากล” เป็นแนวของการปฏิบัติและควบคุมให้เกิดมาตรฐาน
กฎหมาย เป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดมาตรฐานดังกล่าว และลามเลยไปถึงสิ่งที่จะเกิดกับผู้ป่วยและประชาชนทุกหมู่เหล่า การจะออกกฎหมายใดๆ ออกมา จึงต้องระมัดระวัง และเมื่อกฎหมายขาดความระมัดระวัง กลุ่มวิชาชีพที่ตรงที่สุด คือ “เภสัชกร” จึงต้องดาหน้ากันออกมา แสดงความเป็นห่วง คัดค้าน ตั้งคำถาม และแสดงท่าทีห่วงใยไปจนถึงปฏิเสธกฎหมายที่ไม่คุ้มครองประชาชน เช่น ร่าง พ.ร.บ.ยา ที่ว่านี้
น่าแปลก ที่กฎหมายฉบับนี้ ผ่านการถกเถียงกันมาหลายรอบ กลับยังถูกผลักดันออกมาโดยคงข้อถกเถียงหลายประการเอาไว้ และดูเหมือนจะมีอาการ “ลับ ลวง พราง” อยู่พอสมควร สำคัญที่สุดคือ ไม่ปรากฏรายชื่อ “คณะกรรมการร่าง” แต่ทำท่าจะโผล่พรวดเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเอาง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลุ่มวิชาชีพเภสัชกร ยินยอมถูกด่า ถูกมองเป็นผู้ร้าย ถูกกระแนะกระแหนสารพัด ก็ยังคงยืนหยัดคัดค้าน โดยมิได้กล่าวหาว่า กฎหมายเลวร้ายเสียทั้งฉบับ มิใช่ไม่ต้องการกฎหมายฉบับนี้ ทว่ามีมาตราที่ต้องแก้ไข เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ตัดตอนการเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนที่มุ่งหมายเข้ามาประกอบธุรกิจขายยา โดยอาศัย “ช่องโหว่” หรือ “การเอื้อ” ของเนื้อหาในกฎหมายที่ไม่รอบคอบนี้เสียก่อน
นั่นเอง ที่ส่งผลให้เภสัชกรทั่วประเทศ และกลุ่มแพทย์ ออกมาท้วงติง
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561 เวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกลุ่มเภสัชกรคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.ยา พ.ศ. … ที่ให้กับบุคคลซึ่งไม่ใช่เภสัชกรสามารถจ่ายยาได้ว่า ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ เพราะยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ คาดว่าภายในสัปดาห์นี้ ทางองค์การอาหารและยา (อย.) จะนำทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมาพูดคุยกัน โดยขณะนี้ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างยกประเด็นและเหตุผลมา ตนจึงให้ อย.เชิญทั้งสองฝ่ายมา และกำชับกับทาง อย.ว่าต้องเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง จะไม่มีการเอื้อประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ต้องให้ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุด และให้เร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
การให้สัมภาษณ์ของรองนายกฯนี้ เห็นชัดว่า ท่าน “จับต้องได้” เพียงแค่ “ไม่กี่ประเด็น” ของเนื้อหาที่มีปัญหา ถามว่าเป้นความผิดของท่านไหม ไม่ครับ ท่านเป็นทหาร ไม่ได้มีความรู้ “เฉพาะทาง” ที่จะเข้าใจกฎหมายนี้ได้ง่ายๆ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปด้วย
เราลองดูประเด็นสำคัญๆ ไปด้วยกันดีไหมครับ
1) การแบ่งประเภทยา ที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล : มีการแบ่งประเภทยาผิดเพี้ยน โดยแบ่งออกเป็นยาควบคุมพิเศษ ยาอันตราย ยาที่ไม่ใช่ยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษ ยาสามัญประจำบ้าน แตกต่างจากหลักการสากลที่แบ่งประเภทยาออกเป็น ยาที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ (Prescription Only Medicines) ยาที่เภสัชกรเป็นผู้จ่าย (Pharmacy Only Medicines) ยาที่ประชาชนเลือกซื้อได้เอง (General sale list)
การปล่อยให้มี “ยาประเภทที่ 3” (ยาที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ) ซึ่งมีอันตรายมากกว่ายาสามัญประจำบ้าน แต่กลับได้รับการประกาศยกเว้น และการปล่อยให้ยาอันตรายหลายรายการปรับระดับมาเป็นยาประเภทนี้ รวมทั้งเป็น “ยาสามัญประจำบ้าน” ได้ด้วย จะทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากการใช้ยามากขึ้น
2) ใครๆ ก็จ่ายยาได้ : ภก.ปรุฬห์ รุจนธำรงค์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ ถือเป็นการลดมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคลงหลายประการ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบวิชาชีพอื่น นอกเหนือจากแพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ มีอำนาจในการสั่งจ่ายยาได้
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวงการธุรกิจ จะทำให้คลินิกสุขภาพสามารถอ้างเรื่องการจ่ายยาสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตขายยา และมีลักษณะการดำเนินธุรกิจในลักษณะเดียวกับร้านยา
ข้อสังเกตเรื่องนี้คือ ผู้ที่ได้รับการยกเว้นในการจ่ายยา มีมาตรฐานการควบคุมต่ำกว่าผู้รับใบอนุญาตขายยา และเมื่อทำผิดกลับได้รับโทษเบากว่าผู้รับใบอนุญาตขายยา ซึ่งมีมาตรฐานสูงกว่า กล่าวคือต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท แต่ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแล้ว บางกรณีมีบทลงโทษถึงขั้นจำคุก และระวางโทษสูงกว่า 10 เท่า
3) พยาบาลบอกว่า พวกเขามีความรู้พอที่จะช่วยจ่ายยาให้แก่คนไข้ได้ : นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ โพสต์เฟซบุ๊คถึงประเด็นนี้ว่า สภาการพยาบาลขอพยาบาลจ่ายยาได้ด้วย? ผมเห็นด้วยเพียงครึ่งเดียว ที่เห็นด้วย คือ ครึ่งที่สภาการพยาบาลจะขอให้เขียนใน พ.ร.บ.ยาให้ชัดเจนว่า พยาบาลใน รพ.สต.หรือในสถานพยาบาลของรัฐ (ย้ำว่า “ของรัฐ”) สามารถจ่ายยาใน รพ.สต.หรือสถานพยาบาลของรัฐได้ ประเด็นนี้ผมเห็นด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้วในปัจจุบัน การใส่มาตราใน พ.ร.บ.ยาเพิ่มเติม ก็เพียงให้เกิดความสบายใจแก่พยาบาล รพ.สต.มากขึ้น อันนี้ไม่น่ามีใครขัดข้องครับ
ปัจจุบันการจ่ายยาของพยาบาลใน รพ.สต.นั้น ต้องอยู่ภายใต้ระบบการกำกับดูแลของวิชาชีพแพทย์และเภสัชกร ซึ่งต้องมีการทำ CPG , guideline แนวปฏิบัติ หรือ standing order รวมทั้งการโทรปรึกษาแพทย์ที่ดูแล รพ.สต.นั้น เป็นรายครั้งไป ในรายที่มีความยากในการเลือกใช้ยา ซึ่งโรงพยาบาลและ รพ.สต.ส่วนใหญ่ก็มีระบบกันอยู่แล้ว
และเวลาที่พยาบาลทำการพยาบาลหรือเยี่ยมบ้าน พยาบาลก็เป็นพระเอก แพทย์เภสัชก็ให้เกียรติและปรึกษาขอข้อมูลขอความเห็นจากพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุด เพราะพยาบาลจะรู้จักผู้ป่วยและเข้าใจผู้ป่วยและญาติมากกว่าใคร เราทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพอย่างลงตัวและแข็งขันมาตลอด
แต่ที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งคือ การเพิ่มข้อความเหมาๆ ในพ.ร.บ.ยา ว่าให้พยาบาลจ่ายได้ หรือให้คลินิกเอกชนของพยาบาลที่เรียกว่าคลินิกผดุงครรภ์สามารถจ่ายยาได้ อันนี้ไม่ตรงหลักการสากลครับ
หลักสากลนั่น แม้แต่คลินิกเอกชนของแพทย์ก็ยังห้ามจ่ายยาเอง เพราะการจ่ายเองไม่มีคนตรวจสอบหรือที่เรียกว่า double check ทำให้มีข้อผิดพลาดได้ง่าย รวมทั้งมีการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมได้ง่ายด้วย และประเทศไทยเจริญขึ้นมากแล้ว ประเทศไทยควรเดินสู่ทิศทางที่ให้คลินิกแพทย์เอกชนตรวจวินิจฉัยและเขียนใบสั่งยา แล้วผู้ป่วยต้องไปซื้อที่ร้านขายยา นี่คือทิศทางที่ควรจะไป อีก 10 ปี 20 ปี จะไปถึงเมื่อไหร่ก็ไม่ว่ากัน แต่นี่คือทิศทางสากลที่ต้องเดินไปสู่และหนีไม่พ้น
หากเราเชื่อมั่นในหลักความปลอดภัยด้านยาและการคุ้มครองผู้บริโภค เราก็ควรค่อยๆเดินตามอารยประเทศ ไม่ใช่มาเพิ่มให้พยาบาลเป็นอีกวิชาชีพที่จ่ายยาเองได้ และเผลอๆพอมีช่องว่างของกฎหมายก็อาจมีคนที่อาศัยช่องว่างนี้ ให้พยาบาลจ่ายยาแทนเภสัชกรในร้านสะดวกซื้อก็เป็นได้
4) ทำเพื่อพยาบาล/รพ.สต. หรือผู้ประกอบวิชาชีพสุขภาพอื่น จริงหรือ? : ในเรื่องนี้ ภก.ปรุฬห์ อธิบายว่า ในความเป็นจริง การผลิตยา การขายยา รวมถึงการจ่ายยานั้น เป็นการกระทำโดยกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันหรือรักษาโรค จึงได้รับการยกเว้นใบอนุญาตอยู่แล้ว ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 13 (1) (3) ดังนั้น โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง รวมถึง รพ.สต. จึงได้รับการคุ้มครองโดยอัตโนมัติ คนที่ทำงานในสถานพยาบาลเหล่านี้ก็เช่นกัน การปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก็ได้รับความคุ้มครองโดยอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมายยาในส่วนนี้แต่อย่างใด การแก้กฎหมายในส่วนนี้กลับจะทำให้คลินิก (สถานพยาบาลเอกชน) ได้รับการยกเว้นในการจ่ายยาที่เกินกว่าสมรรถนะด้านยาที่มีอยู่ และมีความเสี่ยงที่จะขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต (ทำเกินกว่าการ “จ่ายยาให้ผู้ป่วยเฉพาะราย”)
5) อันตรายจากการอนุญาตให้เตรียมยา ปรุงยา ผสมยาได้ง่ายๆ : ฝ่ายเภสัชกรคัดค้านและชี้ประเด็นว่า การเตรียมยาหรือผลิตยา ในร่าง พ.ร.บ.ยา ไม่เป็นไปตามหลักที่มีมาตรฐาน เพราะเปิดช่องให้ผู้ประกอบวิชาชีพอย่างน้อย 10 สาขา สามารถนำเอายาแผนปัจจุบัน ยาแผนไทย และยาแผนทางเลือก ที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้แล้ว มาผสมกันได้ ปัญหาคือ การเตรียมยาหรือผลิตยา ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญและมาตรฐานวิชาชีพที่มีองค์ความรู้และทักษะที่เกิดจากการเรียนการสอนในหลักสูตรที่มีเฉพาะด้านเภสัชศาสตร์ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ปลอดภัยต่อการบริโภค ไม่ควรยกเว้นผู้ประกอบวิชาชีพหลายสาขา โดยไม่ต้องขออนุญาต ผลิต ขาย หรือนำเข้ายา
ต้องรู้นะครับว่า มียาหลายชนิดที่ผสมกันส่งเดชไม่ได้ เพราะมีโอกาสทอนฤทธิ์ เสริมฤทธิ์ หรือกลายเป็นพิษไปเลยก็ได้ จึงไม่ควรอนุญาตให้กระทำได้โดยง่าย อย่างปราศจากวิชาชีพเฉพาะควบคุม จนอาจเป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการได้
6) ไม่มีการทบทวนทะเบียนตำรับยา : หลังจากที่ได้รับการต่ออายุทะเบียนตำรับยาภายหลัง 5 ปีแรกแล้ว หลังจากนั้น ทะเบียนตำรับยานั้นจะให้ใช้ได้ตลอดไป เว้นแต่จะพบปัญหา ในความเป็นจริง ควรมีการทบทวน เพราะงานวิจัย องค์ความรู้ เคลื่อนไปเสมอ ตำรับยาเดิมที่เคยยืนยันว่าไม่อันตราย วันนี้อาจมีอันตรายแล้วก็ได้ จึงต้องทบทวนข้อมูลให้เป้นปัจจุบันอยู่เสมอ
7) เปิดช่องโฆษณายาสะพัด : ร่าง พ.ร.บ.ยา มีการลดมาตรฐานการอนุญาตโฆษณา จากเดิมที่ต้องขออนุญาตทั้งหมด โดยเปิดช่องให้มีการจดแจ้งโฆษณาซึ่งลดระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบเนื้อหาก่อนการโฆษณา ทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงต่อการได้รับโฆษณาเกินจริงนำไปสู่การซื้อยามาใช้อย่างไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.ยา ยังลดความเข้มงวดในการตรวจสอบเภสัชชีววัตถุซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน โดยกำหนดให้ใช้วิธีจดแจ้งแทนที่จะใช้วิธีการขึ้นทะเบียนตำรับยาซึ่งมีความเข้มงวดมากกว่า
8) ย่อหย่อนด้านการคุ้มครองผู้บริโภค : เครือข่ายผู้บริโภคก็มีข้อเสนอที่น่าสนใจ ว่า ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับนี้อ้างหลักการและเหตุผลเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคแต่เนื้อหาในตัว พ.ร.บ. กลับลดความเข้มข้นของการคุ้มครองผู้บริโภคและไม่ได้แก้ปัญหาที่มีต่อผู้บริโภค
• ไม่มีมาตรการเพิกถอนทะเบียนตำรับยาอัตโนมัติ ในตำรับยาที่เป็นอันตรายและถูกถอนทะเบียนในต่างประเทศหรือในบริษัทแม่แล้ว (กลไกอัตโนมัติในการเพิกถอนทะเบียนตำรับยาที่เป็นอันตราย)
• เปิดโอกาสให้เภสัชกรไม่ต้องอยู่ประจำร้านยาตลอดเวลา ทำให้ส่งผลกระทบต่อการแพทย์ปฐมภูมิ (ร้านยาเป็นส่วนหนึ่งของการแพทย์ปฐมภูมิที่สำคัญ) และทำให้ปัญหาการแขวนป้ายรุนแรงเพิ่มยิ่งขึ้น รวมถึงการแขวนป้ายโดยวิชาชีพอื่นด้วย
• ลดมาตรการการควบคุมการโฆษณาจากการขออนุญาตให้สามารถดำเนินการแค่เพียงการจดแจ้งได้ และขาดมาตรการควบคุมการโฆษณาทางอินเตอร์เนต
• ไม่มีมาตรการใดๆ ในการควบคุมการขายยาในสื่อใหม่ (ขายยาออนไลน์) ทั้งที่เป็นปัญหาที่รุนแรงที่สุดในปัจจุบันและจะยิ่งเป็นปัญหามากขึ้นในอนาคต
• เปิดช่องให้มีการจดแจ้งเภสัชชีววัตถุแม้ว่าจะเป็นวัตถุดิบแต่ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ต้องมีการควบคุมคุณภาพอย่างมาก และต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ใช้วิธีการจดแจ้งเท่านั้น (มาตรา 95)
• ขาดมาตรการการจัดการกับผู้ประกอบการที่กระทำความผิดซ้ำซาก เช่น การโฆษณาโอ้อวด หลอกลวง เป็นเท็จ ผิดกฎหมาย
• ขาดกลไกและอำนาจหน้าที่ที่อนุญาตให้ อย. สามารถตรวจสอบและจัดการโครงการวิจัยทดลองยา ที่จะคุ้มครองอาสาสมัครในการวิจัยฯ หากเกิดความเสียหายหรือผิดพลาดร้ายแรง
สรุป :: เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องความเห็นแก่ตัวของเภสัชกร หรือไม่ต้องการให้มีกฎหมาย ต้องการให้มีและต้องการให้คุ้มครองประชาชน จึงต้องช่วยกันพิจารณาเสียให้รอบคอบครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี