เมื่อการเมืองในประเทศ นับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง
ประเด็นที่ถูกนำมากล่าวหากันแบบผิดๆ หนักๆ ก็คือ เรื่องเศรษฐกิจ
โดยฝ่ายที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเป็นตุเป็นตะ เหลือเชื่อว่า คือ พวกเดียวกับที่เคยคุยโอ่โกหกเรื่องเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง
บางคน เคยหาเสียงด้วยนโยบายจำนำข้าว ว่าจะไม่ขาดทุน แถมจะมีกำไร
บางคน เคยคุยโวจะเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ
เหลือเชื่อกว่านั้น คือ คนในสังคมบางส่วนยังคงหลงเชื่อ ให้ราคากับคนพวกนี้ ด้วยการแชร์ข้อมูลต่อๆ ไป เพียงเพราะได้รับความรู้สึกสะใจที่ได้ตำหนิรัฐบาล คสช. หรือได้ต่อว่าเผด็จการทหาร
พล็อตเรื่องซ้ำซากที่พยายามกล่าวหา คือ การชี้หน้าว่าเผด็จการทหารให้น้ำหนักจัดสรรงบประมาณไปใช้กับการซื้ออาวุธ การทหาร แทนที่จะให้น้ำหนักกับการศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร การช่วยเหลือคนจน ฯลฯ
1.ไม่น่าเชื่อว่า สื่อกระแสหลักบางสำนัก ก็ละเลงข่าวเท็จไปด้วย ทำนองว่ายุครัฐบาล คสช.มีการจัดสรรงบให้กระทรวงกลาโหมมากที่สุด
แล้วก็เป็นฐานอ้างอิงให้ผู้ที่ไม่ชอบรัฐบาล ได้เอาข้อมูลไปละเลงกันต่ออย่างผิดๆ
นักการเมืองบางพวก ก็ต่อยอดความบิดเบือนด้วยการประกาศว่าจะขายเรือดำน้ำ
ความจริงแล้ว งบประมาณแผ่นดินทุกรัฐบาล ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ล้วนจัดสรรให้กระทรวงศึกษาธิการมากที่สุด อันดับหนึ่ง ตามมาด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ ลำดับจะอยู่ประมาณนี้ เปลี่ยนแปลงไม่มาก ไม่ว่ายุครัฐบาลทหารหรือเลือกตั้ง เพราะทุกกระทรวงมีรายจ่ายประจำเป็นส่วนใหญ่
2.นักการเมืองบางพรรค พยายามตีกินเรื่องงบโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปัจจุบัน โดยพยายามขยายความเท็จว่า ยุคเผด็จการ คสช.จัดสรรงบให้น้อยลงกว่าทุกสมัย
ลองดูง่ายๆ ที่ ตัวเลขงบเหมาจ่ายรายหัว ในยุคเผด็จการทหาร คสช. จัดสรรเพิ่มขึ้นทุกปี
ตรงกันข้าม กลับเป็นยุคทักษิณให้งบเหมาจ่ายรายหัวเท่าเดิม หลังชนะเลือกตั้ง นั่นคือปีงบประมาณ 2545 กับ 2546 และในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็แช่แข็งงบเหมาจ่ายรายหัวเท่าเดิม คือ ปีงบประมาณ 2555 กับ 2556
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
งบประมาณที่จัดทำยุคทักษิณ ปีงบประมาณ 2545 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 1,202 บาทต่อหัว
งบปี 2546 ให้เท่าเดิม 1,202 บาทต่อหัว
งบประมาณที่จัดทำยุคยิ่งลักษณ์ ปีงบประมาณ 2555 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 2,755 บาทต่อหัว
งบปี 2556 ให้เท่าเดิม 2,755 บาทต่อหัว
งบปี 2557 เพิ่มเป็น 2,895 บาทต่อหัว
งบปี 2558 ให้เท่าเดิม 2,895 บาทต่อหัว
งบประมาณที่จัดทำยุค คสช. ปีงบประมาณ ปี 2559 ให้งบเหมาจ่ายรายหัว 3,028 บาทต่อหัว
งบปี 2560 เพิ่มเป็น 3,109 บาทต่อหัว
งบปี 2561 เพิ่มเป็น 3,283 บาทต่อหัว
งบปี 2562 เพิ่มเป็น 3,462 บาทต่อหัว
จะเห็นได้ว่า ยุครัฐบาล คสช. เพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัวทุกปีงบประมาณ สิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย
แถมหัวหน้า คสช. ยังใช้อำนาจตัดเอางบกลางมาช่วยอุ้มโรงพยาบาลที่ขาดทุนหนักอีกต่างหาก
3.ประเด็นการจัดซื้ออาวุธ ลองกลับไปยุครัฐบาลเลือกตั้ง ก็มีการจัดซื้ออาวุธไม่ต่างกัน
ยุคนี้ ไม่ได้จัดซื้อเป็นพิเศษ มากกว่าทุกยุคเลย
บางยุค ก็ซื้อเรือ รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ มีทุกยุค
งบประมาณแผ่นดินประจำปี 2562 จัดสรรให้กระทรวงกลาโหม 227,671 ล้านบาท (จากงบประมาณแผ่นดิน 3 ล้านล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน 7.5% ของงบประมาณทั้งหมด
ย้อนหลังไป ปีงบประมาณ 2561 งบกลาโหม 222,436 ล้านบาท คิดเป็น 7.7% ของงบประมาณแผ่นดินปีนั้น
สะท้อนว่า งบปี 2562 เริ่มให้น้ำหนักกับงบกลาโหมน้อยลงด้วยซ้ำ
เปรียบเทียบกับยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ งบประมาณแผ่นดินประจำปี 2556 ให้งบกลาโหม 180,491 ล้านบาท คิดเป็น 7.5% ของงบประมาณแผ่นดินประจำปี
สะท้อนว่า สัดส่วนการให้น้ำหนักกับงบกลาโหม แทบไม่ต่างกัน
หรือย้อนกลับไปยุครัฐบาลทักษิณ เคยจัดสรรงบประมาณแผ่นดินปี 2546 ให้งบกลาโหม 7.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 7.9% ของงบประมาณแผ่นดินประจำปีนั้น สะท้อนว่าให้น้ำหนักงบกลาโหมในสัดส่วนที่สูงกว่าปัจจุบันเสียอีก
ความจริง คือ ประเทศไทย ไม่ว่าจะยุคเลือกตั้งหรือทหาร มีการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้แก่กระทรวงกลาโหม ในสัดส่วนราวๆ 7-9% เป็นประจำอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องที่จะนำมากล่าวหาโจมตี ว่าจัดงบเอื้อประโยชน์แก่ทหารมากเป็นพิเศษ เว้นแต่ว่า ยุคไหน มีการจัดซื้อจัดจ้างที่ทุจริต ค่อยน่าจะหยิบยกขึ้นมาตีแผ่ นำเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีทุจริตประพฤติมิชอบกันต่อไป
4.ตรงกันข้าม ที่เริ่มต้นดำเนินการเป็นรูปธรรมในยุคเผด็จการทหาร ก็คือ การจ่ายเงินตรงให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย 11 ล้านคน
จ่ายเงินอุดหนุนช่วยเหลือเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 600 บาทต่อเดือน (ต่อเนื่องจนอายุ 3 ขวบ) จำนวนกว่า 450,000 คน โดยจ่ายตรงเข้าบัญชีคุณแม่เช่นกัน
5.ปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจในยุครัฐบาล คสช. ยังไม่ได้ฟู่ฟ่า ประชาชนจำนวนมากยังขาดกำลังซื้อ ตามราคาสินค้าเกษตรบางตัวที่ตกต่ำ เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน เป็นต้น
แต่พื้นฐานเศรษฐกิจมหภาค ไม่ขี้เหร่เลย
ดุลบัญชีเดินสะพัด การส่งออก ทุนสำรองระหว่างประเทศ ฯลฯ อยู่ในสถานะดีกว่าช่วงหลายรัฐบาลก่อนหน้า และดีกว่าหลายประเทศที่ลูกผีลูกคนในภาวะเศรษฐกิจโลกเวลานี้
รศ.สมเกียรติ โอสถสภา นักเศรษฐศาสตร์ เขียนเฟซบุ๊คอธิบายสถานการณ์ไว้ง่ายๆ ว่าด้วยเรื่อง “ความแข็งแกร่งของประเทศไทย” สรุปความบางตอนว่า
“ความแข็งแกร่งของประเทศไทย ประเทศไทยของคนไทยทุกคน
ในบรรดาประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติเกือบสองร้อยประเทศ และมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นสมาชิกขององค์การ การค้าโลก 156 ประเทศ ที่รัสเซียเป็นสมาชิกรายล่าสุด
ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 31 ของโลก เป็นตลาดที่มีกำลังซื้ออันดับที่ 24 ดังนั้น อียู และอเมริกา จึงกระตือรือร้นที่จะมาขอทำเขตการค้าเสรี ที่เรียกว่า Free Trade Area
ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 28 ซึ่งแสดงว่า ถ้าประเทศไทยส่งออกไม่ได้ หรือไม่ส่งออก วุ่นทั้งโลก เห็นกันมาแล้วในตอนที่บริหารงานน้ำไม่เป็น การผลิตรถยนต์ คอมพิวเตอร์ วุ่นวายไปหมดทั้งโลก
เมื่อไทยเกิดวิกฤติการเงินก็ส่งผลให้ลามไปทั้งเอเชีย รัสเซีย เข้ายุโรปด้วย ไปจนถึงละตินอเมริกา ประเทศไทยเล่นได้แซ่บแค่ไหน รู้กันดี…
...เทียบกันทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยจัดว่าเป็นประเทศที่การลงทุนทำได้ง่ายเป็นอันดับที่ 17 ของโลก เท่าๆ แคนาดา และเยอรมนี เช่น กู้เงินได้เร็ว ก่อสร้างได้เร็ว หาคนทำงานได้เร็ว จดทะเบียนบริษัทได้เร็วมาก
เป็นประเทศที่ส่งออกและนำเข้าอันดับยี่สิบของโลก
ในยุคที่รายได้สำคัญของประเทศเกิดจากการขายการท่องเที่ยว การศึกษา การขนส่งทางอากาศ บริการสนามบิน กำไรจากการค้ากับต่างชาติ เช่น ค้าชายแดน ขายที่แพลตตินั่ม โบ๊เบ๊ สำเพ็ง ขายบริการท่าเรือ เดินเรือ ขนส่งสินค้าทางบก บริการการแพทย์ ขายบริการเทเลคอม บริการธนาคาร หลักทรัพย์ บริหารงานก่อสร้าง ลงทุนก่อสร้าง ขายบริการนักบิน แอร์ สปา ประเทศไทยทำได้ไม่เลวครับ เป็นประเทศที่ทำรายได้จากอุตสาหกรรมฐานความรู้ ความชำนาญเป็นอันดับที่ 30 ของโลก เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมอันดับ 17
ประเทศไทยผลิตสินค้าเกษตรเป็นที่ 11 แต่เนื่องจากผลิตได้มากเกินไป จึงกลายเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับหก แนวเดียวกับเดนมาร์ก ออสเตรเลีย
...ประเทศนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาอันดับที่ 19 ของโลก ขายบริการสนามบินได้เป็นอันดับที่ 17 กรุงเทพฯและลอนดอนแย่งกันเป็นเมืองอันดับหนึ่งด้านการท่องเที่ยวของโลก มาหลายปี กรุงเทพฯของผมชนะไปแล้ว
ประเทศนี้มีสำรองเงินตราต่างประเทศอันดับ 12 ของโลก สูงกว่าเยอรมนี ค่าเงินเสถียรมาก แข็งเหมือนกับเงินสวิตเซอร์แลนด์ เป็น Safe Haven ของโลกด้านการเงิน
ถ้าออสซี่ไม่พักกรุงเทพฯ เดินทางตรงไปยุโรป สลบแน่นอน
เราโชคดีที่อยู่ในประเทศที่เจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจครับ และเราจะเจริญรุ่งเรืองต่อไป
ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง จบลง รายได้คนไทยแค่ 100 เหรียญต่อคนต่อปี ตอนผมเรียนตรีมหาวิทยาลัยราว 300 เหรียญ ตอนเรียนโทราว 600 เหรียญ
เมื่อเดือนกรกฏาคม 2554 ธนาคารโลกเลื่อนประเทศไทยขึ้นสู่ประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางขั้นสูง upper middle income country เพราะเขาบอกว่ารายได้เข้าเกณท์มาตั้งแต่ปี 2551 พวกฝรั่งที่มาวิจัยบอกว่า จริงๆ แล้วรายได้คนไทยสูงกว่าที่แสดงไว้เยอะ เพราะมีรายได้นอกระบบ เช่น ค้าขาย โน่นนี่อีกร่วม 50% ซึ่งต่างประเทศเขาลงนับ ของเราไม่ รายได้จากที่ไม่มีโฉนดก็ไม่แสดง หลบภาษีเก่งมาก ฝรั่งบอกว่ารายได้คนไทยวัดจริงจังอยู่ระดับสเปน ดีกว่าอิตาลี ไม่ยอมทำตัวเลขให้สูง อยากได้ GSP ส่งออกของฝรั่ง ทำให้ดูจนนิดนึง
ประเทศไทยมีอัตราคนว่างงานต่ำเป็นอันดับสองของโลก แถมยังมีคนต่างชาติมาทำงานอีก 3.7 ล้านคน แสดงว่ามีงานเกินคน จะจ้างคนทำงานหนื่งคน ต้องลงทุนสองล้านบาทขื้นจึงจะมีงานหนื่งตำแหน่ง
...ประเทศนี้แข็งแรง เติบโต ไม่มีใครมาแบน มันพูดเพ้อเจ้อไปงั้นเอง
เป็นประเทศใหญ่ แข็งแรง สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมาก
โลกยกย่องวัฒนธรรมไทยให้สูงเด่น เข้มแข็ง เป็นอันดับแปดของโลกครับ
บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ลูกหลานของคุณ นักเรียนของคุณ เพื่อพวกเขาจะได้รู้จักประเทศของตนเอง และรู้ว่าคนรุ่นก่อนๆ ร่วมกันสร้างประเทศนี้ขึ้นมา
ขอให้มีกตัญญูต่อประเทศชาติ
บอกเล่าให้เพื่อนต่างชาติของคุณฟัง เพื่อเขาจะได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี