เมื่อครั้งที่ทำงานกับสำนักข่าวยูพีไอ (United Press International) ปี 2525 ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวว่ามีมนุษย์เรือเวียดนามลำหนึ่งมุ่งหน้าเข้าน่านน้ำไทยตรงไปทางเกาะรัง เขตจังหวัดตราด ทีมงานของสำนักข่าวยูพีไอ เช่าเรือประมงไปเกาะรังตั้งแต่ตี 5 เรือเข้าใกล้เกาะรัง ได้เห็นภาพมนุษย์เรือเวียดนามนับร้อยชีวิต กำลังแบกข้าวของสัมภาระ บ้างก็หอบลูกจูงหลานลุยน้ำขึ้นฝั่ง
มนุษย์เรือหลายคน เล่าให้ฟังว่า พวกเขาหนีออกจากประเทศเวียดนามมาได้ เพราะได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ UNHCR ท้องถิ่นบางราย บางคนกล่าวว่า กว่าจะออกมาได้ต้องติดสินบนเจ้าหน้าที่เป็นเงินสดมูลค่า 200 ดอลลาร์ หรือทองรูปพรรณที่มีค่า 200 ดอลลาร์เท่ากัน เจ้าที่ UNHCR กำกับก่อนออกเดินทางว่าเมื่อขึ้นฝั่งในประเทศไทย ให้ทำลายเครื่องยนต์หรือเจาะเรือให้เสียหาย ป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ไทยผลักดันมนุษย์เรือออกทะเลหลวงต่อไป
ขณะที่กำลังสัมภาษณ์และถ่ายทำการมาถึงของมนุษย์เรือเวียดนาม ประมาณแปดโมงเช้าเรือเจ้าหน้าที่ UNHCR มาถึงเกาะรัง เห็นทีมงานยูพีไอสัมภาษณ์ชาวเวียดนาม เจ้าหน้าที่ UNHCR โวยวายว่าสัมภาษณ์ ถ่ายภาพไม่ได้ และขู่ว่าจะดำเนินคดีกับทีมงานยูพีไอ เมื่อทีมงานกลับมาถึงฝั่งที่อำเภอคลองใหญ่ ตำรวจที่ดูแลศูนย์กักกันมนุษย์เรือชั่วคราวบอกเราว่า ได้รับแจ้งจาก UNHCR ว่าพวกเราออกนอกประเทศผิดกฎหมาย ว่าเกาะที่เราเข้าไปนั้นเป็นเขตกัมพูชาไม่ใช่ของไทย ปลัดอำเภอคลองใหญ่ ที่นำ อ.ส. มาช่วยดูแลความปลอดภัย บอกเราว่า UNHCR ไม่ต้องการให้ทำข่าวตอนที่มนุษย์เรือมาถึงประเทศไทย ก่อนที่พวกเขาจะทำทะเบียนแรกรับ อันนี้ไม่เข้าใจว่าทะเบียนแรกรับนั้นเป็นตัวเลขที่ทำกันไว้จากต้นทางว่าไม่มีใครเบี้ยวใครหรือเปล่า
อีกกรณีในปี 2531 ในขณะที่ไปทำข่าวนักศึกษาและนักเคลื่อนไหวชาวพม่าหนีการปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2531 (พม่าเรียก 888ทมิฬ) ช่วงนั้นนอกจากทำข่าวนักศึกษาพม่า ยังพบว่ามีชาวโรฮีนจา หลายร้อยคนอ้างว่าหนีตายจากพม่าหาทางเข้าประเทศไทยด้วย แต่จากการสอบถามโรฮีนจาหลายรายได้ความว่า ชาวโรฮีนจา (ในเวลานั้น) ไม่ได้หนีพม่า แต่ออกมาจากค่ายผู้อพยพค็อกซ์บาร์ซา ในบังกลาเทศ ติดชายแดนพม่า ชาวโรฮีนจาเล่าว่า ค่ายผู้อพยพค็อกซ์บาร์ซา แออัดขาดแคลน วุ่นวาย บางกลุ่มก่อเหตุร้าย ชาวโรฮีนจาที่ต้องการหาที่อยู่ใหม่ ก็หลบหนีออกมาจากค่ายค็อกซ์บาร์ซาได้โดยที่เจ้าหน้าที่ UNHCR รู้เห็นเป็นใจ
นำเรื่องมนุษย์เรือเวียดนามกับผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮีนจา ที่เกิดขึ้นนานแล้วมาเล่าใหม่ เพราะเห็นว่า วันนี้ทั้งนักการเมือง สื่อ เอ็นจีโอ และ UNHCR ยังคงปลุกระดมสร้างกระแสให้คนไทยและชาวโลกสนใจในชะตากรรมกลุ่มที่อ้างว่าเป็นผู้อพยพลี้ภัย ซึ่งพวกเขาใช้เป็นเครื่องมือหากินได้ตลอดมา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา นักเล่าวิทยุ อสมท คลื่น 96.5 นำเสนอเรื่องเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทำให้เป็นวาระแห่งชาติให้ได้
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อวันที่ 28 ส.ค. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี สนธิกำลังร่วมกับทหาร ตำรวจ ตม. ปิดล้อมจับกุมชาวกัมพูชา เวียดนาม 168 คนหลังจากศูนย์ดำรงธรรมได้รับการร้องเรียน ว่าเป็นเครือข่ายค้ามนุษย์-แรงงานข้ามชาติลักลอบทำงานในไทย แต่ภายหลังพบว่าผู้ถูกควบคุมตัวกลุ่มนี้ เป็นผู้ลี้ภัยชนกลุ่มน้อยหนีการเลือกปฏิบัติในเวียดนาม-กัมพูชา และที่สำคัญกว่า 154 ราย ถือบัตรผู้ลี้ภัยของ UNHCR อ้างว่าอยู่ระหว่างทำเรื่องขอลี้ภัยไปประเทศที่ 3
หลังการสอบสวน ผู้หลบหนีเข้าเมืองที่มาจากกัมพูชา ถูกส่งไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สวนพลู ส่วนผู้มาจากเวียดนามจะถูกส่งฟ้องศาลข้อหาหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่การดำเนินการตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ไทยถูกสื่อที่เอ็นจีโอ และกลุ่มสิทธิมนุษยชนประณามว่าละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัย นายแบรด อาดัม ผู้อำนวยการ
ฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำเอเชีย กับ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัว ผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกม.ทันที โดยไม่มีเงื่อนไข อ้างว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ลี้ภัยที่ได้รับหนังสือคุ้มครองผู้ลี้ภัยจาก UNHCR
ประเทศไทย ไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการรับรองผู้ลี้ภัยปี 2494 แต่น่าประหลาดใจ ที่ประเทศไทยได้กลายเป็นแหล่งทำกินของเอ็นจีโอ และ UNHCR จากการออกหนังสือคุ้มครองผู้ลี้ภัยให้ ที่อ้างว่าเป็นผู้แสวงหาที่อยู่ใหม่ ผู้หลบหนีเข้าเมืองนับพันนับหมื่นราย ทำมาหากินอยู่ในประเทศไทย อย่างสะดวกสบายหลังจากได้รับหนังสือคุ้มครองผู้ลี้ภัยจาก UNHCR สถิติสิบปีที่ผ่านมา พบว่าผู้แสวงหาที่อยู่ใหม่ ที่ได้รับการคุ้มครองจาก UNHCR ในเมืองไทยได้ไปตั้งรกรากใหม่ในประเทศที่สามไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์
นั้นหมายความว่า มีต่างชาตินับหมื่นรายที่ได้รับการคุ้มครองจาก UNHCR ทำมาหากินอยู่ในประเทศไทย ไม่ได้ไปตั้งรกรากใหม่ที่ประเทศไหน ชาวพม่าที่หนีเข้าเมืองมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2531 มีลูกมีเมียเป็นคนไทย จนวันนี้ยังถือหนังสือคุ้มครองผู้ลี้ภัยจาก UNHCR “ผมต้องไปต่อหนังสือคุ้มครองจาก UNHCR ทุกๆ เดือนเมษายน สิบปีแรกผมได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 2,500 บาท แต่ผมไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงมาหลายปีแล้ว” ชาวพม่าผู้ถือหนังสือคุ้มครองผู้ลี้ภัยจาก UNHCR เล่าให้ฟังทางโทรศัพท์
เขาเล่าให้ฟังว่า หนังสือคุ้มครองผู้ลี้ภัยจาก UNHCRขอได้ง่ายตราบใดที่อ้างว่า เดินทางมาจากประเทศ ที่ตะวันตกไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นพม่า เวียดนาม ลาว หรือ กัมพูชา ผู้หลบหนีเข้าเมืองเพียงสร้างเรื่องขึ้นว่า มีปัญหากับรัฐบาลหรือถูกรังแกอันเนื่องจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติศาสนา สื่อ เอ็นจีโอ กับ UNHCR จะตาลุก ร้อนเนื้อร้อนใจ รีบออกหนังสือให้ได้อยู่ในข่ายผู้ลี้ภัยได้รับการคุ้มครองจาก UNHCR
UNHCR ปฏิบัติต่อประเทศไทยอย่างไร สังเกตง่ายๆ ว่าคนไทยคนไหนละเมิดกม.อาญา มาตรา 112 หรือเป็นสมุนบริวารทุนสามานย์ต่อต้านรัฐบาลออกหน้า หรือทำผิดกฎหมายอาญา UNHCR มักออกหนังสือคุ้มครองผู้ลี้ภัยและจัดหาที่ตั้งรกรากใหม่ให้ในประเทศที่สามไม่ว่าจะเป็นนายจรัล ดิษฐาภิชัย นายตั้ง อาชีวะ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นางอั้ม เนโก๊ะ ฯลฯ จากพฤติกรรมของ UNHCR ที่ผ่านมา จึงอนุมานได้ว่าเจ้าหน้าที่ UNHCR บางรายนอกจากมีรายได้จากหน่วยงานสังกัดแล้วยังมีรายได้พิเศษ จากทุนสามานย์ปล้นชาติทุกครั้งที่ UNHCR จัดการให้สมุนบริวารสัมภเวสีได้มีสัญชาติหรือได้ตั้งรกรากใหม่ในประเทศที่สาม
อาจเป็นเพราะว่า จัดการให้ผู้หลบหนีเข้าเมืองทำได้ง่าย และเมื่อเข้ามาในประเทศไทย มีเอ็นจีโอ มีสื่อในเครือข่าย คอยคุ้มครองสนับสนุนให้ได้รับหนังสือคุ้มครองจาก UNHCR จึงน่าตกใจที่เมื่อพบว่าในปี 2561 ในกรุงเทพฯและเมืองบริวารของประเทศไทย มีผู้ลี้ภัยที่อ้างว่ารอหาที่ตั้งรกรากใหม่ในประเทศที่สามอยู่มากกว่า 10,000 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ลี้ภัย จากซีเรีย ปากีสถาน โซมาเลีย อิรัก เวียดนาม ปาเลสไตน์ ฯลฯ กว่า 8,000 ราย เมื่อดูจากสถิติในรอบสิบปีที่ผ่านมา ร้อยละเก้าสิบ ของผู้ได้รับหนังสือคุ้มครองผู้ลี้ภัยจาก UNHCR เมื่อเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ไม่ได้ออกไปตั้งรกรากใหม่ที่ประเทศไหน ทำมาหากินมีลูกมีเมีย ออกลูกออกหลานอยู่ในเมืองไทยนี้แหละ
พม่าประเทศเพื่อนบ้านเราถูกตะวันตกกล่าวหาว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮีนจา ที่คณะตรวจสอบค้นหาความจริงของสหประชาชาติสรุปว่าทหารพม่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮีนจาจริง จึงเสนอให้นำนายทหารพม่า 6 นายรวมทั้งพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดพม่า ไปดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รัฐบาลพม่าปฏิเสธข้อกล่าวหาและโต้ตอบว่าพม่าไม่ได้เป็นภาคี ICC ยูเอ็นจึงไม่สิทธิ์ลากพม่าไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ
ฉันใดก็ฉันนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการรับรองผู้อพยพปี 2494 เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศไทยต้องไม่ปล่อยให้เอ็นจีโอ และ UNHCR ใช้กรุงเทพฯเป็นที่หากินและดูหมิ่นประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี