“ดื่มน้อยๆ ดีต่อสุขภาพ” เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้างกับข้อความทำนองนี้กับ“เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ทั้งมีการอ้างผลการศึกษาเชิงวิชาการกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ล่าสุดเมื่อช่วงปลายเดือนส.ค. 2561 ที่ผ่านมา มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ชื่อว่า “Alcohol use and burden for 195 countries and territories, 1990-2016 : a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2016” ได้รับความสนใจจากสื่อตะวันตกหลายสำนัก โดยเนื้อหาระบุว่า “ปริมาณการดื่มที่ปลอดภัยไม่มีอยู่จริง” หักล้างความเชื่อที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง
ในเวทีเสวนา “ดื่มในระดับที่ปลอดภัย..มีจริงหรือ” ณ รร.เอเชีย ราชเทวี กรุงเทพฯ นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้วอาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่างานวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ “The Lancet” ซึ่งมีชื่อเสียงและได้รับความน่าเชื่อถือระดับโลก โดยประมวลผลข้อมูลจากผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กว่า 600 ชิ้นจาก 195 ประเทศ ตั้งแต่ปี 2533-2559
พบว่า “แม้การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อยคือ 1-2 ดริงก์ต่อวัน หรือเทียบเท่าเบียร์ 1-2 กระป๋อง สามารถลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้จริง แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากโรคอื่นๆ เช่น เส้นเลือดในสมองแตก ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย วัณโรค รวมถึงมะเร็งเต้านมในกรณีของสตรี” ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้เป็นที่ฮือฮามากในแวดวงสาธารณสุขของต่างประเทศ
“แต่ก่อนมีความเชื่อและอยู่ในข้อแนะนำของการรับประทานอาหารของต่างประเทศบางสำนัก ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1-2 ดริงก์ต่อวัน ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ ก็เทียบเท่าเบียร์ 1-2 กระป๋อง ต้องเข้าใจว่าคนต่างประเทศ คน 80-90 เปอร์เซ็นต์เขาดื่มแอลกอฮอล์ มันเป็นเรื่องปกติกว่าบ้านเราเยอะ บ้านเราดื่มแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ มันก็กลายเป็นกลยุทธ์ว่าไหนๆ ดื่มแล้วก็อย่าดื่มมาก การรณรงค์ของบ้านเราเลยเป็นไปว่าอย่าดื่มเลย คนไทยจำนวนคนดื่มไม่เยอะแต่ปริมาณการดื่มเยอะ แต่ในต่างประเทศคนดื่มเยอะแต่ปริมาณการดื่มไม่เยอะ” นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว
นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2559 กระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ (Department of Health, UK) ได้ออกมาเตือนแล้วว่า “no level of regular drinking that can be considered as completelysafe” (ไม่มีการดื่มในระดับใดที่ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์)ดังนั้นดีที่สุดคือการไม่ดื่ม เช่นเดียวกับองค์กร World Cancer Research Fund ของอังกฤษ ที่ทำการศึกษาด้านโรคมะเร็ง ก็มีคำเตือนว่า “For cancer prevention, it’s best not to drink alcohol” (การป้องกันโรคมะเร็งที่ดีที่สุดคือการไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) เป็นต้น
“ฝากถึงกลุ่มวิชาชีพสาธารณสุข พวกเราทำงานบนพื้นฐานวิชาการ ดังนั้นพอมีงานวิชาการใหม่ๆ เราต้องเปลี่ยน อย่างงานวิชาการว่ายาตัวนั้นตัวนี้ดีเราก็เปลี่ยนวิธีการจ่ายยา อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อก่อนเราอาจจะเชื่อว่ามันมีงานวิจัยสนับสนุนว่าแอลกอฮอล์มันดีอย่างไรบ้างในปริมาณน้อยๆ ตอนนี้มีงานวิจัยนี้ออกมาแล้วก็อยากให้เลิกเผยแพร่ คือมันยังมีกลุ่มวิชาชีพสาธารณสุขที่ยังเผยแพร่ความเชื่อนี้ให้กับคนไข้อยู่ เพราะมันมีงานวิจัยเก่าๆ แต่งานวิจัยนี้ออกมามันพลิกวิธีคิดไปแล้ว มันตรงข้ามกับสิ่งที่เคยเชื่อ” นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวย้ำ
เรื่องเล่าจากคนเคยดื่มหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถาวร เบ็ญพาด ชาว จ.กาญจนบุรี เล่าว่าเริ่มสัมผัสกับน้ำเมาตั้งแต่อายุ 16 ตามประสาวัยรุ่นและเพิ่มปริมาณการดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ซึ่งระหว่างนั้น “ผ่านมาหมด” ไม่ว่าจะเป็น “เมาแล้วเกิดอุบัติเหตุ” เพราะไปไหนก็ขี่มอเตอร์ไซค์ หรือ “เมาแล้วมีเรื่อง” ชกต่อยทะเลาะวิวาท กระทั่งเกิดอุบัติเหตุรุนแรงถึงขั้นต้องนอนติดเตียงอยู่เป็นอาทิตย์ ทำให้ตัดสินใจเลิกดื่มนับแต่นั้นเป็นต้นมา
“ภรรยาผมก็เคยห้าม บอกว่าอย่ากินๆ แต่คำพูดที่เขาจำคือที่ผมบอกว่า..“เพื่อนต้องมาก่อนเมีย”..เขาก็เลยไม่สนใจ กลายเป็นลูกสาวที่มาดูแล ปกติต้องกินทุกวัน แต่พอ 7 วันไม่ได้กินก็รู้สึกว่า.. “เออ!ไม่กินก็ได้นี่หว่า”..ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่กินอีก แต่เมื่อปี 2559 นี้เอง ผมหายใจไม่ออก พอไปหาหมอที่โรงพยาบาลโรคทรวงอก หมอมาเช็คก็บอกว่า..“ทำไมคุณปล่อยมาขนาดนี้”..ต้องทำบอลลูน 3 เส้น คำถามแรกของหมอคือ..“คุณดื่มเหล้าหรือเปล่า?”.. เพราะมันมีอะไรในเส้นเลือดเยอะมาก” ถาวร ระบุ
เช่นเดียวกับ ไพบูลย์ เนียมมณี ชาวบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ที่เล่าว่า จากที่เริ่มดื่มตั้งแต่อายุ 13 เมื่อครั้งทำงานที่โรงกลึง หลังเลิกงานพี่ๆ ที่ทำงานก็จะใช้ไปซื้อกับข้าวและเหล้ามา “ตั้งวงก๊ง” ต่อมาพี่ๆ ก็เริ่มให้ลอง จาก 1 ฝา ต่อมาก็เป็นครึ่งแก้วแล้วก็ซื้อมาดื่มเองตลอด แถมวันไหนที่เช้าตื่นมา “แฮงก์” มึนๆ หัว ก็จะไปหาเบียร์ 1 กระป๋องมา “ถอน” ก่อนเข้าทำงานอีกต่างหาก กระทั่งได้พบความจริงที่น่ากลัวเมื่อตอนตรวจสุขภาพ พร้อมๆ กับลูกสาวขอให้เลิก ทำให้ค่อยๆ ลดการดื่มลง และเพิ่งเลิกได้อย่างเด็ดขาดเมื่อไม่นานนี้
“ผมทำงานโรงกลึง 20 ปีไม่เคยตรวจสุขภาพ จนมาทำงานโรงพยาบาลเอกชน มีตรวจสุขภาพทุกปีพอปีที่ 2 ตรวจโปรแกรมใหญ่ หมอบอกว่า..“ไพบูลย์! รู้ไหมตับคุณเริ่มแย่แล้วนะ”..แต่ก็ยังดื้อนะ ยังกินอยู่เข้างานเป็นกะ ออกเวรก็กินกันเหมือนเดิม แต่จุดที่เลิกคือบอกเพื่อนว่าลูกสาวเรียนจบจะเลิก ตอนนี้เลิกมา 7 เดือนแล้ว วันเกิดลูกสาวกินส่งท้ายแล้วก็ไม่ได้กินอีก” ไพบูลย์ กล่าว
ด้าน คำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา กล่าวเสริมว่า งานวิจัยล่าสุดเรื่องไม่มีปริมาณการดื่มที่ปลอดภัย จะเป็นการท้าทายความเชื่อที่กลุ่มทุนน้ำเมาใช้มาตลอดเรื่องมาตรฐานการดื่ม เช่นในอดีตเคยมีการอ้างผลการศึกษาทางการแพทย์ว่าใน 1 ชั่วโมง ร่างกายสามารถขับแอลกอฮอล์ได้ 10 กรัมฉะนั้นเราห้ามดื่มเกิน 10 กรัม ใน 1 ชั่วโมง กระทั่งงานวิจัยล่าสุดได้ออกมาหักล้างดังกล่าว
“งานวิจัยนี้สำคัญคือจะเป็นต้นทางไปหักล้างวาทกรรม จำเป็นจะต้องสื่อสารให้ประชาชนรู้ให้สังคมได้รู้ว่าไม่มีการดื่มแบบไหนที่ปลอดภัย อันตรายทั้งสิ้นจะมากจะน้อยก็อีกระดับหนึ่ง มันจะไป
ลบวาทกรรม เช่น ดื่มเป็นยา ดื่มแล้วนอนหลับ ดื่มแล้วกินได้ ดื่มแล้วกระตุ้นกำลังวังชา เรื่องเหล่านี้ฝังอยู่ในความคิดความเชื่อ และสร้างความเคยชินให้ผู้บริโภค”ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา กล่าวในท้ายที่สุด
บทสรุปทั้งจากงานวิจัยและเรื่องเล่าจากคนเคยดื่มค่อนข้างจะชี้ชัดว่าน้ำเมาจะดื่มมากดื่มน้อยมีแต่จะก่อปัญหา เช่น สติสัมปชัญญะลดลงร่างกายพร้อมมีเรื่อง หรือพร้อมขับรถซิ่งไปเสี่ยงอุบัติเหตุ เรียกได้ว่าเวลานั้นบางส่วนของชีวิตก้าวไปเฉียดยมโลกไม่ก็คุกตะรางแล้ว หรือดื่มแล้วต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนเสพติดแอลกอฮอล์โดยไม่รู้ตัว มารู้อีกทีก็ป่วยสารพัดโรค ฉะนั้นใครไม่ดื่มได้ก็ดี แต่ใครที่ยังเลิกดื่มไม่ได้ก็ต้องพึงสังวรณ์ไว้เสมอว่า
ไม่มีการดื่มในระดับใดที่ดีต่อสุขภาพ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี