การเมืองร้อนระอุ เมื่อมีการประกาศวันเลือกตั้ง วันเริ่มหาเสียง พรรคการเมืองเตรียมทุ่มเงินเข้าต่อสู้กัน และก็ต้องเตรียมหาทุนคืนเช่นกัน เมื่อก้าวเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ และใช้อำนาจบริหาร แทนปวงชนชาวไทย
ปวงชนชาวไทย ก็คงจะนั่งตาปริบๆ ดูว่า เขาเหล่านั้นจะเข้าไปทำอะไรกัน เขาจะเข้าไปสร้างชาติ พัฒนาชาติ หรือเข้าไปแย่งอำนาจกัน แย่งผลประโยชน์กัน เหมือนในอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เป็นเวลา 86 ปี
เขาเหล่านั้น ทราบไหมว่า องค์การ Asean (Association of South East Asian Nations) ซึ่งคนไทยริเริ่มตั้งไว้ เมื่อปี ค.ศ.1968 หรือ พ.ศ.2511 (โดย ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย สมัยนั้น) มีอายุ 50 ปี ในปีนี้ (พ.ศ.2561)
ตัวประธาน ก็หมุนเวียนกันไปทุก 10 ปี เมื่อสิบปีที่แล้ว (พ.ศ.2552) ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน ก็เชิญผู้นำของประเทศสมาชิกทั้งสิ้น มาประชุมที่พัทยา ก็ได้นำความอัปยศอดสูมาสู่ประเทศไทย เป็นอย่างมาก ที่ไม่สามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้นำประเทศต่างๆ ทั้งสิ้นได้ ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนขึ้นชั้นดาดฟ้าโรงแรม หนีรอดทางเฮลิคอปเตอร์บ้าง แหวกวงล้อมไปขึ้นเครื่องกลับที่สนามบินอู่ตะเภาบ้าง ลงเรือเร็วหนีจากท่าของโรงแรมบ้าง
การเป็นประธานที่ประชุมระหว่างประเทศ ที่ควรจะนำสิ่งที่มีคุณค่ามาสู่ประเทศไทยได้ ก็สูญเสียไป
และก็ยังทำให้คุณค่าของประเทศไทยที่มีอยู่ในสายตาอาเซียน และในสายตาโลก ลดน้อยถอยลงไปอีก
และเดือนมกราคม พ.ศ.2562 อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประเทศไทยก็จะเป็นประธานอีก และต้องเชิญประเทศสมาชิกมาประชุมที่บ้านเราอีก
ประธานที่ประชุม (นายกรัฐมนตรีของไทย) จะสามารถรักษาความปลอดภัยให้ผู้นำชาติอื่นๆ ได้หรือไม่ จะสามารถนำการประให้องค์การสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) เป็นองค์การที่มีคุณค่าในสายตาของโลก และในสายตาของมหาอำนาจค่ายต่างๆ ในโลกได้เพียงใด และจะทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมพลเมืองประมาณ 625 ล้านคน เป็นภูมิภาคที่มีคุณค่าได้เพียงไร ทั้งในด้านการเมืองระหว่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม
ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกท่าน ผู้ประกอบกันเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral body) เลือกคนเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนเรา (สส., สว.)
แล้วก็ปล่อยวางมือ ให้ สส., สว. เข้าไปเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้งเสียเอง (Electoral body) เลือกพวกเดียวกันเองเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร (นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล) แทนเรา เช่นที่เป็นมาในอดีตเป็นเวลา 86 ปี
ซึ่งก็ต้องมีการซื้อเสียง ดูดเสียง เอาผลประโยชน์เข้าล่อ จนลุกลามกลายเป็นการเมืองน้ำเน่า และธุรกิจการเมืองตลอดมา
แล้วเราจะได้คนเก่ง คนกล้า คนดี เข้ามาเป็นประธานการประชุมระหว่างประเทศอันสำคัญที่สุด ในภูมิภาคของเราไหม
หรือเราจะได้แค่คนกะล่อน คนโกง เข้ามาใช้นโยบาย “ประชานิยม” จนประเทศไทยล่มจมไปเช่นเดียวกับที่เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา และตุรกี กำลังประสบอยู่ในปัจจุบันนี้
เราไม่ช่วยกันคิด ช่วยกันหาวิธี กันบ้างหรือ ว่าจะมีนวัตกรรมอย่างไรที่เราจะสร้างองค์คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral body) ของการเข้าสู่อำนาจบริหาร (เป็นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล) ให้เป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral body) ที่ประกอบด้วยมืออาชีพ (Professionals) ในด้านการบริหารแขนงต่างๆ ในประเทศเรา มาเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral body) ของอำนาจบริหาร (Executive Power) แล้วก็เลือกมืออาชีพระหว่างกันเองนี้ ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มเติมว่าเป็นคนดี มีจริยธรรม เป็นคนเก่งมีความรู้ ความสามารถสูงเท่าเทียมกับผู้นำของประเทศอื่น มีผลงาน และความสำเร็จในด้านบริหารเป็นที่ยอมรับในแขนงงานของตน ทั้งจากภาคธุรกิจ ภาครัฐกิจ และภาคประชากิจ ซึ่งไม่เคยมีประวัติความเสียหายทั้งในด้านอาญา ด้านวินัย และด้านการบริหารจัดการที่ดี (good governance) เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และคณะรัฐบาลของประเทศ
ถ้ายังทำไม่ทันคราวนี้ ก็ให้ช่วยกันคิด และยอมรับกันก่อนว่า
1.การให้ สส. และ สว. (ฝ่ายนิติบัญญัติ) มาเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) เลือกหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) นำความเสียหายสู่ประเทศไทย เป็นระยะเวลาอันช้านาน
2.ระบบนี้ (Parliamentarian democracy) ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่การซื้อเสียงจากประชาชน การซื้อเสียงจาก สส., สว. ด้วยกัน เพื่อพาตัวเองไปสู่อำนาจบริหาร ทำให้ต้องไปทุจริตคอร์รัปชั่นกันตามกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ และลามไปสู่จริยธรรมของประชาชน
3.จึงควรที่ทุกคนจะต้องช่วยกัน หาทางแก้ไข มิให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทหารต้องออกมากวาดล้างเป็นวงจรอุบาทว์ (Vicious circle) ตลอดเวลา
4.การแยกอำนาจทั้งสามออกจากกันโดยเด็ดขาด จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ทำได้ และเป็นนวัตกรรมชิ้นใหญ่ที่ควรทำ
5.เมื่อเรายอมรับในข้อเท็จจริงข้างต้นแล้ว ก็มาช่วยกันคิดต่อไปว่า ใครจะมาเป็นองค์คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ของอำนาจบริหาร แทนที่จะปล่อยให้ สส., สว. แห่งอำนาจนิติบัญญัติมาปู้ยี่ปู้ยำกันเช่นทุกวันนี้
6.การรับเอา (adopt) วิธีการเข้าสู่อำนาจตุลาการ โดยเอามืออาชีพด้านกฎหมายด้วยกันเท่านั้น มาเป็นเป็นองค์กรเลือกตั้ง คณะกรรมการตุลาการ ได้ผลดีมาโดยตลอด น่าจะเป็นวิธีการที่ดีเช่นกัน
7.การเอานักบริหารมืออาชีพ จากภาครัฐกิจ ภาคธุรกิจ ภาคประชากิจ มาเป็นองค์กรเลือกตั้ง (electoral body) ของอำนาจบริหาร จึงเป็นทางออกที่ดีได้วิธีหนึ่ง โดยเราจะได้มืออาชีพทางด้านบริหาร เข้ามาบริหารประเทศ แทนนักธุรกิจการเมือง
8.เมื่อคิดได้แล้ว ก็คงต้องช่วยกันเผยแพร่ต่อไป จนเป็นความต้องการของประชาชน เราก็จะก้าวเข้าสู่ระบบ Professional Democracy แทนระบบ Parliamentarian democracy ในอนาคต
9.เสถียรภาพของรัฐบาลก็จะเกิดขึ้นได้ สันติภาพ เอกภาพและความรู้รักสามัคคีของประชาชน ก็จะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน ไม่มีการการจลาจลวุ่นวาย หรือสงครามกลางเมือง สถาบันต่างๆ ของชาติ ก็จะยังคงอยู่อย่างสถาพรต่อไปเช่นเดิม
10.ดังนั้น นักศึกษา ประชาชน คนสูงอายุ ก็ไม่ควรอยู่เปล่าๆ ควรช่วยกันเผยแพร่แนวคิดเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยแบบมืออาชีพ (Professional Democracy) มาแทนที่ธุรกิจการเมือง หรือการเมืองน้ำเน่า เพื่อจะได้พ้นวงจรอุบาทว์ และการสร้างชาติไทยให้เจริญก้าวหน้าเท่าเทียมอารยประเทศ ก็จะไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี