เพราะเป็นสังคมที่คุ้นเคยต่อการ “ห่วงผลประโยชน์” และ “แสวงหาอำนาจ” จึงทำให้หลายคนออกอาการ “เพี้ยน” เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศมิติใหม่ทางการเมืองว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเปิดโอกาสให้ “สมาชิกพรรค” มีส่วนในการแสดงมติเลือก “หัวหน้าพรรค” โดยตรง
ภาพสะท้อนที่สำคัญที่สุด คือคำถามจาก “นักหนังสือพิมพ์อาวุโส” อย่าง “เปลว สีเงิน” ที่นำเสนอ “ความเห็นถึงปรากฏการณ์นี้ตอนหนึ่งในบทความชื่อ “จะดิ้นให้ตกเตียงเพื่ออะไร?” ของเขาว่า...
“...อย่างตอนนี้ ความจริง “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป
หรือจะไม่เป็น ถอยให้คนอื่นเป็น?
ก็เรื่องของประชาธิปัตย์ สังคมทั่วไปไม่เกี่ยว ยกเว้นใครที่เป็นสมาชิกพรรค
แต่ตัวนายอภิสิทธิ์และคนประชาธิปัตย์เองนั่นแหละ กลับแพร่ “มลภาวะพิษ” ไร้เดียงสาออกมารบกวนสังคมภายนอกเขา
อันที่จริงนั้น กติกาอันเป็นวัฒนธรรมพรรคในการคัดตัวหัวหน้ามีอยู่แล้ว
แต่ยักกระสายไปเอง หวังเป็นจุดขายเรียกแขกประมาณนั้น
๗๒ ปี ของพรรค ถือว่าแก่แล้ว.......
พูดสุภาพก็ว่า อาวุโสมากแล้ว น่ามีความคิดรอบด้าน จะทำอะไร ไม่ควรให้ชาวบ้านเขาดูถูก-ดูแคลน ว่า
โตแต่ตัว ......
แต่ “หัวคิด” ไม่มีเลย!
อยากจะอวดอ้างประชาธิปัตย์ยุคใหม่ เป็นพรรคเสรีประชาธิปไตย เปิดกว้างให้สมาชิกเลือกตั้งหัวหน้าพรรค
ก็ดี...........
เป็นบันไดพาดให้นายอภิสิทธิ์ลงเท่ๆ หรือทำเท่ๆ แต่ลงท้าย นายอภิสิทธิ์เหมือนเดิม
หรือพลิกล็อก สมาชิกพรรค “เลือกคนใหม่” ขึ้นเป็นหัวหน้าประชาธิปัตย์แทนนายอภิสิทธิ์จริงๆ
มันก็ดีกับประชาธิปัตย์ทั้งนั้น........
แล้วจะสร้างเรื่อง พาลคนอื่น โวยวาย ให้หนวกหู น่ารำคาญไปเพื่ออะไร?...”
ซึ่งเมื่อได้อ่านแล้ว ผมรู้สึก “เศร้าใจ” เพราะหาก “นักหนังสือพิมพ์อาวุโส” ซึ่งเป็น “หัวหอก” ในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ชี้นำประชาชนอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยัง “มองเห็น” ได้แค่นี้ “คิด” ได้แค่นี้ จะหวังอะไรกับการพัฒนา “นิสัยประชาธิปไตย” ในวงการเมืองของเรา
อดคิดไม่ได้ว่า หากข้อเสนอ แนวคิด หรือเงื่อนไขนี้ออกมาจากปาก “นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แล้วไซร้ “เปลว สีเงิน” จะเขียนเยินยอว่ากระไรบ้าง?
ในท่ามกลางการเรียกร้อง “การเมืองที่ดี” การเมืองที่ เป็นประชาธิปไตย ไยเราไม่ช่วยกันชี้ (ชี้ไม่ได้แปลว่าต้องชมอย่างเดียว) ว่าการให้สมาชิกพรรคได้เลือกหัวหน้าพรรคนั้น คือการให้สมาชิกได้แสดงเจตจำนงว่าพรรคที่เขามาร่วมสนับสนุนนั้น ต้องการให้ใคร “เป็นผู้นำ” นี่เป็นประชาธิปไตยที่ดีงาม
หรือคุณเปลวชอบพรรคที่ใครเป็นผู้ก่อตั้ง ก็นั่งเป็นเจ้าของอยู่อย่างนั้น ไม่ตายไม่ลงจากเก้าอี้ หรือหากผู้นำพรรคทุจริตคดโกงจนหนีคดี ก็ตั้ง “ทายาทอสูร” หรือ “ขี้ข้าบริวาร” ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคแทน หรือไม่ก็ยึดอำนาจมา แล้วหาทาง/ทำทุกวิถีทางที่จะได้เปรียบคนอื่น เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ อย่างนี้ถึงจะ “ไม่น่ารำคาญ” สำหรับคุณเปลว
ประชาชนเขาไปไกลแล้วครับ ลุงเปลวครับ กระบวนการประชาธิปไตยนั้น ให้เริ่มจากนิสัย “ชอบเห็นการมีส่วนร่วม” เป็นเบื้องต้นก่อน จากนั้นเข้าสู่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มองต่างมุม
หรือวิพากษ์วิจารณ์กันได้ แต่หาข้อยุติเพื่อไปต่อให้ได้ นั่นคือประชาธิปไตย
ไม่ใช่เห็นการถกเถียงกันระหว่างนายอลงกรณ์ พลบุตร กับนายอภิสิทธิ์ เป็นเรื่อง “น่ารำคาญ”
มีพรรคการเมืองกี่พรรคครับ ที่เปิดให้มีการ “ถกเถียง” กันอย่างนี้ และเป็นการถกเถียงกันในเชิงหลักการทั้งสิ้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรือป้ายสีกันไปกันมา หากจะเอาอีกคู่ขัดแย้งหนึ่งมาร่วมด้วย เช่น กรณี นายวัชระ เพชรทอง กล่าวในทำนองให้ร้ายว่านายอลงกรณ์ไปเลียเผด็จการจนได้ดี แล้วแว้งกัด จะกลับมาป่วนพรรค อันนี้ “น่ารำคาญ” จริง เห็นด้วยกับคุณเปลว และเชื่อว่าคุณเปลวจี้ไปที่เรื่องนี้อย่างปรารถนาดี บางเรื่องคุณวัชระต้องมี“ต่อมกลั่นกรอง” ไว้ใช้งานบ้าง เพื่อจะรู้ว่า “ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คิด” แต่ต้อง “คิดก่อนพูด” ว่าพูดแล้วส่งเสริมให้พรรคดูดี หรือจะเป็น แจ๊คผู้ฆ่าพรรค” อยู่ร่ำไป เพราะข้อดีของคุณวัชระที่นักการเมืองทั้งหลายควรมี คือ การเป็นนักตรวจสอบ แต่ต้องระวังอย่าให้เหมือนเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ, ศรีสุวรรณ จรรยา หรือวีระ สมความคิด ที่คนมองว่า มีความ “ล้น” และ “เลอะ” อยู่ในที
อันที่จริงลุงเปลวก็มองออกว่า การเลือกหัวหน้าพรรคโดยให้สมาชิกพรรคลงคะแนนด้วยนั้น ไม่ใช่ “ความปลอดภัย” ในเก้าอี้หัวหน้าพรรคของนายอภิสิทธิ์เลย เผลอๆ อาจแพ้ด้วยซ้ำไป แต่ไปใช้คำว่า “เป็นบันไดให้นายอภิสิทธิ์ลงอย่างเท่ๆ”
คือ ถ้ามันจะเท่ ก็เท่แบบประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่หรือครับ
คนดีต้องขึ้นได้ ลงเป็น ต้องไม่เห็นแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ ต้องให้สมาชิกพรรคร่วมเลือกไม่ใช่หรือครับ
ถ้าสมาชิกพรรคเขาไม่ต้องการแล้ว ก็ลงจากบันไดเท่ๆ แล้วมันแย่ตรงไหนไม่ทราบ?
บางทีผมก็ไม่เข้าใจ ว่าคนในบ้านนี้เมืองนี้เขาต้องการอะไรกันเอะอะมะเทิ่งด้วยคำว่า “ประชาธิปไตย” กันมาตลอด บางพรรคผูกขาดตนเองเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ไม่เชื่อไปดูรายการ Wake Up ทางช่องว้อยซ์ ทีวี สิครับ เรียกตนเองเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” กันครึกโครม ไม่อับอาย ว่าเครือข่ายการเมืองที่หนุนหลังตนและตนหนุนอยู่ คือ เผด็จการรัฐสภา หนีคุกหนีตะราง อยู่ไม่ได้แม้บนแผ่นดินแม่ หลอกลวงมวลชนมาชุมนุมไล่รัฐบาลอื่น ที่ผ่านการโหวตเลือกนายกฯ ในสภา แต่ไปกล่าวหาว่าตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ครั้นมีคนบาดเจ็บล้มตาย เพราะมีการก่อการร้ายแฝงอยู่ในการชุมนุม หรือจะเพราะถูกกระสุนของฝ่ายควบคุมสถานการณ์ ที่เรียกว่า “กระชับพื้นที่” หรือ “จะเรียกสลายการชุมนุม” ก็ได้ เพราะศาลชี้ว่าเป็นการชุมนุมที่เกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญจะคุ้มครอง แทนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งสืบทอดความนิยมต่อมา จะ “ให้ความเป็นธรรม” แก่มวลชนคนตาย กลับออกกฎหมายนิรโทษกรรม ปิดกั้นการนำความตาย ความเป็นธรรม เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นี่หรือครับ พฤติกรรมประชาธิปไตย ที่กล้ายกหางตัวเองขึ้นเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย”
ขณะที่ตอนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง แม้กระทั่งจะเสนอชื่อคนอื่นขึ้นเป็นนายกฯ ประกบในสภา เขายังไม่ทำเลย เพราะให้เกียรติ ว่าชนะคะแนนมาจากประชาชนอย่างท่วมท้น และไม่มีม็อบไล่ยิ่งลักษณ์ในเวลานั้นเลย นั่นเพราะสังคมส่วนใหญ่ หรือ “ฝ่ายอื่น” ที่คุณผลักออกไป เขามี “วุฒิภาวะทางประชาธิปไตย”
ไม่ต่างจาก “พรรคอนาคตใหม่” ที่คายแคมเปญ “ไม่เอาเผด็จการ ไม่เอารัฐประหาร” แต่ไม่เคยวิเคราะห์ ลงลึกหรือกล้าวิจารณ์ถึง “เผด็จการจากการเลือกตั้ง / เผด็จการรัฐสภา” ก่อนหน้านั้นเลย
เช่นเดียวกับ อลงกรณ์ พลบุตร ที่ตั้งข้อแม้ 5 ข้อ ว่าถ้ามีคนมาเชิญให้ไปลงแข่งหัวหน้าพรรค ต้องมีเงื่อนไขหนึ่งว่า จะการเมืองในระบบเท่านั้น
นั่นแปลว่า ในสายตานายอลงกรณ์ “การชุมนุม” เป็นการเมืองนอกระบบ?
ทำไมถึงได้หยามเหยียดการ “ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ” ของประชาชนได้ขนาดนั้น ในเมื่อการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่มีคนจากพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วม หรือถูกมองว่า “หนุนอยู่ข้างหลัง” ก็ตามที เป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ ถามไปที่ศาลกี่ครั้ง ก็ยืนยันกลับมาอย่างนั้น ไยนายอลงกรณ์ถึงใจแคบ มองว่าเป็นการเมืองนอกระบบ ทั้งๆ ที่เป็นการเมืองภาคประชาชน เป็นการใช้สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ เพราะกลไกของรัฐสภาล้มเหลว ในการหยุดกฎหมายชั่ว กฎหมายที่ทำให้คนตายฟรี และคนขี้โกงหลุดคดี
ย้อนกลับมาที่นายอภิสิทธิ์ ซึ่งถูกล้อมตีที่กระทรวงมหาดไทย โดยกลุ่มคนจาก นปช. แทบตาย เขาเคยหมิ่นแคลนการชุมนุมของฝ่ายประชาชนไหม ว่านอกระบบ รังเกียจ ไม่เอาเช่นเดียวกับนายศรีสุวรรณ จรรยา ที่ไปยื่นเรื่องให้ตรวจสอบกรณีตั้งนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นรองเลขาธิการนายกฯ นายศรีสุวรรณ กล่าวในทำนองว่า นายพุทธพงษ์เป็นแกนนำ กปปส. ซึ่งชุมนุมเปิดทางให้ทหารเข้ามา
คิดกันด้วยสติแทนอคติได้ไหมครับว่า หากรับสภาไม่ออกกฎหมายเลวทรามอย่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งผิดหลักนิติรัฐนิติธรรม ย่ำยีชีวิตของมวลชนคนเสื้อแดง ตำรวจ ทหาร ประชาชน สื่อมวลชน ที่ตายไป ใครเขาจะออกมากินนอนกลางถนนให้ลำบาก ในเมื่อคนที่ตายไปก็ไม่ใช่ญาติพี่น้อง หากจะอยู่อย่างเห็นแก่ตัว รักสบาย ไม่รักความถูกต้อง ไม่รักประชาธิปไตย ใครเขาจะออกมา
และในการออกมา เขาเรียกร้องหรือว่า ให้ทหารมาปฏิวัติรัฐประหารเลย
แล้วเมื่อทหารออกมา ก็มีเหตุเพราะว่ามีการใช้อาวุธสงครามเข้าทำร้ายประชาชนผู้ชุมนุม โดยรัฐบาลรักษาการสามตัวสิบในเวลานั้น (เหลือไม่กี่คน เพราะส่วนใหญ่ ศาลสั่งให้พ้น อันเป็นผลจากคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี) กองทัพเลือก “ประกาศกฎอัยการศึก” แทนการยึดอำนาจ ซึ่งจริงๆ เขายึดได้ทุกเมื่อ
ประกาศกฎอัยการศึกเสร็จ กวาดล้างอาวุธสงคราม จับได้มากมาย ส่วนเรื่องทางออก-ทางตัน ของบ้านเมือง ก็ให้คู่ขัดแย้งทั้งหลายมานั่งคุยกัน วันแรกไม่สำเร็จ วันที่สองไม่มีใครเปิดทางออกให้บ้านเมือง ทหารจึงได้ประกาศยึดอำนาจ
ขอถามว่า ถ้าวันนั้นทหารไม่ยึดอำนาจ ใครจะทำงบประมาณใครจะจ่ายเงินเดือนข้าราชการ ใครมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้าย และประชาชนจะต้องตายเพิ่มอีกกี่คน
ทุกอย่างจึงมีที่มาที่ไป ซึ่งหากเราไม่อคติ เราก็สามารถอธิบายความเชื่อมโยงของเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีเหตุมีผลทั้งสิ้น
กลับมาสู่การเปิดให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ได้เลือกหัวหน้าพรรคโดยตรง นี่คือประชาธิปไตยที่ทั้งสวยงามและดีงามไม่ใช่หรือครับ แม้เดิมกลไกการเลือกหัวหน้าพรรค ก็ให้ตัวแทนจากสาขาพรรคทั่วประเทศร่วมลงคะแนนด้วยอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น ด้วยการให้สมาชิกร่วมโหวต แล้วจะต้องไปมองเป็นการ “ยักกระสาย” ทำไมล่ะ ดีก็บอกว่าดี ไม่ดีก็บอกสิว่า ไม่ดีตรงไหน ส่วนอลงกรณ์-วัชระ-อภิสิทธิ์ ใครพูดผิดตรงไหน ยังไง ก็วิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ ไป ไม่ต้องซ่อนเงื่อน ซ่อนสำนวนอะไรหรอกในความเป็นสื่อ เราต้องคำนึงถึง “อิทธิพลทางความคิด” ที่จะไปตกอยู่ที่ประชาชนคนอ่าน ว่าเรา “สื่อสาร” อะไรออกไปถึงเขา เขาไว้ใจเรา เขาเชื่อในความเป็นสื่อ ภาระของสื่อจึงมีมากกว่าความรัก-ไม่รัก ส่วนตัว
มาครับ มาร่วมกันเรียกร้องให้พรรคอื่นๆ เพิ่มพูนความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคไปด้วยกัน
ในฐานะสื่อ อย่ามัวแต่นั่งเคาะเครื่องคิดเลข มาพรรคไหนมีแนวโน้มจะได้คะแนนเท่าไร แล้วเอามาใช้เป็นตัวกำหนดหรือคาดหวังต่อการเดินหน้าทำงานการเมืองของเขา เพราะพรรคการเมืองที่ดี
ไม่ทำการเมืองบนเครื่องคิดเลข ว่าทำยังไงกูจะชนะ แต่พรรคการเมืองที่ดี จะทำงานบน “ปัญหา” เพราะนักการเมืองและพรรคการเมืองคือ “ตัวแทนของประชากรจากพื้นที่ต่างๆ” เขาเข้าสภาพเพื่อนำปัญหาประชาชนมาแก้ไข และใช้ความรู้ วิสัยทัศน์ ของหมู่คณะที่มีสร้างกลไกการพัฒนาและกลไกปกป้องประชาชนควบคู่กันไป
การเมืองที่ดี ต้องเริ่มจากสื่อมวลชนและนักวิเคราะห์ที่ดี ที่จะต้องวาง “เครื่องคิดเลข” ลง เลิกกะเก็งผลแพ้ชนะ เพราะเราไม่อยากเห็นการเมืองแบบ “ซื้อหวย” หรือหวังรวย หวังถูกรางวัลเท่านั้น แต่จงมาช่วยกันไล่ต้อนนักการเมืองและพรรคการเมืองว่า จงแสดงตนออกมา ว่าพรรคเธอเป็นของใคร เธอมีวิสัยทัศน์และนโยบายอย่างไร เพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์หรือโอกาสเป็นใหญ่ของเธอ หรือบำบัดความใคร่ทางการเมืองส่วนตัวของเธอ เธอคือ “ผู้แทนราษฎร” เธอเห็นปัญหาอะไรของราษฎร แล้วเธอมีแนวทางแก้ไขอย่างไร จงบอกมา
วันนี้อะไรคือปัญหา อะไรคือแนวทางแก้ไข
วันข้างหน้า ที่สังคมสูงวัยจะเป็นปัญหาใหญ่ การเข้ามาของโรบอต-เทคโนโลยี ที่จะแทนที่แรงงานมนุษย์ คุณจะทำอย่างไร สังคมไร้เงินสดกับปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะ ทั้งขยะพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และสารพิษทั้งหลาย คุณจะทำยังไง
เราอยากเห็นนักการเมืองและพรรคการเมืองหมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่องเหล่านี้ มากกว่านั่งเคาะคิดเลข แล้วประกาศออกมาว่า จะหนุนใครไม่หนุนใคร เพื่อที่ตัวเองจะ “พลอยเป็นใหญ่” ไปด้วย
อยากให้เขาเดินพ้นจากตัวเองและผลประโยชน์
การที่นายอภิสิทธิ์กล้าให้มีการโหวตเลือกหัวหน้าพรรค และเริ่มมีชื่อคนนั้นคนนี้จะเข้ามาแข่งขันด้วยอย่างคึกคัก หรือนี่ไม่ใช่ขั้นต้นของการเดินพ้นจากตัวเองและผลประโยชน์ของตัวเขาเองล่ะ ตอบมา!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี