เมื่อวานนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องโทษคดีทุจริตประพฤติมิชอบ หลบหนีหมายจับคดีทุจริตอีกหลายคดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Thaksin Shinawatra ว่าด้วยเรื่อง “12 ปี จาก 19 กันยายน 2549 ถึง 19 กันยายน 2561”
ความว่า
“วันนี้ ผมอยากให้ทุกท่านลองวางใจให้เป็นกลาง แล้วหลับตานึกว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ ท่านคิดว่าประเทศไทยเจริญขึ้นแล้วหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา ระบบราชการบริการประชาชน ยาเสพติด การสาธารณสุข กระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจของท่านเอง รวมถึงความสุขของท่านและคนรอบตัวท่าน สุดท้าย คือ ศักดิ์ศรีประเทศและความภูมิใจของท่าน
เรามีการปฏิวัติ 2 ครั้ง ใน 12 ปี ปฏิวัตินายกฯที่เป็นพี่น้องกันและได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แน่นอน มีคนได้ดีและร่ำรวยจากการปฏิวัติทั้ง 2 ครั้ง แต่คนที่แย่ลงในหลายมิติมีมากกว่า และไม่สำคัญเท่ากับประเทศไทยที่เรารักถูกมองแย่ลงในสายตาคนทั้งโลก
เราถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะหันหน้ามาปรึกษาหารือกันเพื่อบ้านเมือง หรือว่าเราจะตะแบงฟาดฟันกันฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นที่ต่างกัน ชอบไม่เหมือนกัน บางคนต้องถึงกับชีวิต บางคนเจ็บป่วย บางคนติดคุก บางคนถูกกลั่นแกล้งทางธุรกิจ ทางอาชีพและตำแหน่งหน้าที่ราชการ จนอยากจะตะโกนแรงๆ ว่าเราคนไทยด้วยกันไม่ใช่หรือ
แล้ววันนี้เราช้ำกันพอแล้วหรือยัง ประเทศช้ำพอแล้วหรือยัง รอยยิ้มของไทยที่เรียกว่ายิ้มสยามหายไปไหนหมด แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้ ในขณะที่โลกเขากำลังเอาสมองไปคิดค้นสิ่งใหม่ นำความเจริญให้ประเทศเขาแต่เรากำลังล้าหลังในทุกๆด้าน ถ้าเราเปิดใจกว้าง ไม่เป็นกบน้อยในกะลา เราจะรู้ว่าเราต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกเยอะ เทคโนโลยีที่ทั้งโลกกำลังใช้ประโยชน์มันกำลังจะไล่ล่าประเทศที่ปรับตัวไม่ทันและไม่คิดปรับตัว
ในโอกาสครบรอบ 12 ปีนี้ ผมขอเปิดอกว่า ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนั้น ผมต้องสูญเสียความสุข ความอบอุ่นในครอบครัวผม ที่พ่อแม่ลูกเราอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นมาตลอด ต้องมาพรากจากกัน
ผมเสียใจที่คนที่รักผม สนับสนุนผมถูกรังแก แต่คงไม่เสียใจเท่าประเทศที่ผมรัก แผ่นดินที่ผมเกิด และเติบโตมา ซึ่งครั้งหนึ่งได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ต้องมาตกอยู่ในสภาวะแบบนี้
ถึงแม้ว่าผมมีอายุที่กำลังก้าวเข้าปีที่ 70 แล้ว แต่ผมเสียดายประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 12 ปีที่ออกมา ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ 12 ปี แล้วยังไม่ลืมผม ยังส่งผ่านความรักความปรารถนาดีมาถึงกันเสมอมา
สุดท้ายนี้ ผมขออโหสิกรรมให้กับทุกคนที่ให้ร้ายกลั่นแกล้งผมมา ณ ที่นี้ด้วย”
1. เนื้อหาและถ้อยคำทั้งหมดข้างต้น ไม่ได้สะท้อนเลยแม้แต่น้อยว่า ทักษิณสำนึกผิด
ยังเล่นบทว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งอยู่เหมือนเดิม
2. ตรงกันข้าม ยังเต็มไปด้วยการให้ร้าย กล่าวโทษผู้อื่น
โดยไม่พูดถึงการกระทำผิดของตนเอง ซึ่งหลายกรณีเป็นการทุจริตประพฤติมิชอบ ผิดกฎหมายบ้านเมือง มีคำพิพากษาชี้ขาด มีข้อเท็จจริงประจักษ์
มิใช่แค่ความชอบแตกต่าง แต่เป็นการทุจริตโกงกิน
3. 12 ปีที่ผ่านมา นายทักษิณพูดอย่างกับว่า ตนเองถูกตามรังควานฝ่ายเดียว โดยที่ตนเองไม่ได้กระทำอะไรแก่ประเทศชาติให้เกิดความเสียหายเลย ทั้งๆ ที่ นายกรัฐมนตรีตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 เป็นคนของทักษิณเสียมาก ไม่ว่าจะเป็น นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
แล้วในช่วงที่ประเทศบริหารโดย “นายกฯ คนนอกตระกูลชินวัตร” ที่ทักษิณสั่งไม่ได้ ทักษิณก็ไม่ได้อยู่เฉย ยังปลุกระดมบงการม็อบ ให้เคลื่อนไหวต่อต้านขัดขวาง
เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย ปี 2552-2553 ถึงขนาดล้มการประชุมอาเซียน เผาบ้านเผาเมือง ก่อการร้าย พวกที่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง ฯลฯ
4. ทักษิณยังอดคุยโวโอ้อวดตัวเองไม่ได้ ว่าตนเองมีประสบการณ์ความรู้ เสียดายที่ไม่ได้ใช้ทำเพื่อประเทศชาติ
อันที่จริง ถ้าเก่งจริง ป่านนี้ทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศ แข่งขันกับแจ็ค หม่า – อีลอน มัสต์ ฯลฯ ได้แล้ว
แต่ทำไมยังต้องวนเวียนมาด้อมๆ มองๆ ส่งคนในตระกูลวนเวียนหมายปองอำนาจรัฐในประเทศไทยอยู่อีก
มันอาจสะท้อนว่า คนที่รวยเพราะสัมปทานผูกขาด ไม่ได้สร้างนวัตกรรมอะไรโดดเด่น พอไร้อำนาจรัฐที่เอื้อประโยชน์ให้ก็ไปไม่เป็น ทำธุรกิจอะไรไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่?
5. ทักษิณยังไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรเลยกับนโยบาย “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” จำนำข้าวผลาญเงินประเทศกว่า 6 แสนล้านบาท แถมโกงกินกันสะบั้นหั่นแหลก โดยนักธุรกิจใกล้ชิด คือ เสี่ยเปี๋ยง
ทักษิณเคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ คุยโวโอ้อวดเกี่ยวกับโครงการจำนำข้าว ว่าตนเองเป็นคนคิดเอง และจะไม่ขาดทุน ไม่ก่อภาระมหาศาลแน่นอน... สุดท้าย เจ๊งที่สุดในปฐพี
6. คนไทยคงไม่มีวันลืม ว่าใครเคยพูดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไว้ว่าอย่างไรบ้าง
7. ทั้งหมดทั้งปวง เห็นว่า ทักษิณเพียงจะอาศัยช่วงเวลา 19 ก.ย. ครบรอบ 12 ปี ของเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 เพื่อจะเปิดเกมเคลื่อนไหวทางการเมืองรอบใหม่
นี่แค่คลายล็อก คสช.ก็ถูกลองของทันที
คอยดูเสียงเห่าหอนรับของบริวารในประเทศ หลังจากนี้
กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม
ปี 2561 เป็นปีที่ 4 ย่างสู่ปีที่ 5 ของรัฐบาลคสช. ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีทั้งคนรักและคนชังเหมือนกับทุกๆรัฐบาลที่ผ่านมาในรอบ 70 ปีหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในปี 2488 ประเทศที่เข้ามาเป็นมหามิตรที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงของไทยนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงมีอยู่ 4 ชาติ 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐเยอรมนี จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น สำหรับจีนกับไต้หวันคือจีนที่เป็นชาติพี่น้องกัน นักธุรกิจจีนเป็นพลเมืองไทยก็มากมายเป็นแสนเป็นล้านคน ชาติที่ 2 ที่เป็นมิตรแท้คือญี่ปุ่น
นักธุรกิจญี่ปุ่นได้ยกคณะเข้ามาอาศัยเมืองไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าต่างๆมากมายอยู่เป็นระยะเวลานานมากกว่า 6 ทศวรรษหรือนานกว่า 60 ปี ผู้นำรัฐบาลชุดปัจจุบันเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีส่วนตัวกับผู้นำรัฐบาลญี่ปุ่นของนายชินโสะ อาเบะ และผู้นำองค์การเจโทรของญี่ปุ่น เมื่อไทยมีสถานะเป็นชาติศูนย์กลางของอาเซียน หรือ CLMMTV ญี่ปุ่นก็ใช้นักธุรกิจไทยเป็นหัวหอกในการส่งสินค้ารุกเข้าตลาดอาเซียนและจีนภาคใต้เนื่องจากไทยมีความสัมพันธ์ที่ดี หรือมีคอนเนคติวิตี้ที่ดี
สินค้าที่ผลิตจากไทยเป็นที่ยอมรับถึงคุณภาพและมาตรฐานในการผลิตทั้งในจีน สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย นี่คือเรื่องจริงที่มีพยานหลักฐานยืนยัน อุตสาหกรรมหลักของเจโทรญี่ปุ่นมากมายได้เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์, การก่อสร้าง, เครื่องมือแพทย์, คอมพิวเตอร์, สารสนเทศ, ไอทีเทคโนโลยี, การขนส่ง, การพาณิชย์นาวี, การบริการต่างๆ, การประมง, เหล็กและนวโลหะ, อุปกรณ์สื่อสารโทรศัพท์มือถือ รวมไปถึงอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย
ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์สำคัญที่มีชื่อเสียงจากญี่ปุ่นที่บุกตลาดไทยนั้นมีหลากหลายแบรนด์เช่น ชาร์ป, มิตซูบิชิ, ฮิตาชิ, โตชิบา, โซนี่, ฟูจิ, ฟูจิตซึ, เนชั่นแนล, ยูนิเวอร์ซัล, ซันโย, ยามาชิตะ ฯลฯ หนึ่งในกลุ่มนี้คือกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ครบวงจรได้แก่ฮิตาชิที่เดินทางเข้ามาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเขาในไทยมาตั้งแต่ปี 1910 หรือ 2453 ในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลายาวนานร่วม 1 ศตวรรษ หรือ 100 ปี
เมื่อวันที่ 18 กันยายนนี้กลุ่มอุตสาหกรรมยักษ์ฮิตาชิ ได้ยกคณะจากญี่ปุ่นมาแถลงข่าวความสำเร็จครั้งใหญ่แห่งปีในความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมเอสซีจียักษ์ใหญ่รายสำคัญของวงการเศรษฐกิจของไทยนั่นคือการลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจหรือเอ็มโอยู-Memorandum of Understanding เพื่อประสานความร่วมมือในการส่งเสริมการประหยัดพลังงานในโรงงานของเอสซีจีและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการด้านอื่นๆ โดยเป็นการร่วมมือกันของ 3 บริษัท คือ บริษัทฮิตาชิ จำกัด, บริษัท ฮิตาชิเอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทเอสซีจีซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา บริษัทฮิตาชิ จำกัด และบริษัทฮิตาชิเอเชีย จำกัด ได้แถลงข่าวเปิดตัวศูนย์ลูมาดาประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้จังหวัด ซึ่งบริษัทเผยว่า เป็นการสนับสนุนประเทศไทยตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ประกาศไว้แสดงความนโยบายนี้เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลชุดปัจจุบันแม้จะถูกสื่อสารมวลชนสายเพื่อทักษิณโจมตีค่อนขอดว่าเป็นนโยบายพ้นสมัยไปแล้วหลายครั้งก็ตาม
สำหรับกลุ่มฮิตาชินั้นในปัจจุบันมีคณะผู้บริหารในตำแหน่งที่สำคัญๆ ดังนี้ นายโตชิอากิ ฮิกาชิฮาระประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฮิตาชิ จำกัด นายโคจิน นาคากิตะ ผู้บริหารระดับสูงของฮิตาชิ ประธานบริษัทฮิตาชิเอเชีย จำกัด และประธานบริษัทฮิตาชิ อินเดีย จำกัด นายโคซึเกะ โฮริอูชิ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฮิตาชิเอเชีย จำกัด นายโคจิ โตมิตะ รองกรรมการผู้อำนวยการบริษัทฮิตาชิเอเชีย จำกัด นายโยชิโตะ โคดามะ กรรมการผู้จัดการบริษัทฮิตาชิเอเชีย จำกัด และนายอากิฮิโระ โอฮาชิ ผู้อำนวยการบริหารบริษัทฮิตาชิ เอเชีย ไทยแลนด์ จำกัด
นายโตชิอากิ ฮิกาชิฮาระประธานผู้ที่นำคณะกลุ่มฮิตาชิมาเยือนไทยได้เผยว่า กลุ่มฮิตาชิและบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ของญี่ปุ่นมีความผูกพันกับประเทศไทย คนไทยมาช้านานนับตั้งแต่ปี 1910 หรือ 2453 เขาเชื่อว่ากลุ่มธุรกิจรายใหญ่ของญี่ปุ่นนับร้อยๆรายต่างมีความพอใจที่ได้มาตั้งหลักปักฐานในไทยคนญี่ปุ่นยอมรับในความสามารถของคนไทย ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่ความเจริญและรุ่งเรืองก้าวไปสู่ประเทศเศรษฐกิจใหม่ในอนาคตที่ไม่นานนักอย่างที่กล่าวไว้ว่าประเทศไทยคือความหวังในอนาคตของเอเชียอย่าง
ปฏิเสธไม่ได้และคนญี่ปุ่นยอมรับไทยที่เป็นฐานการผลิตที่มีความสำคัญมากและเป็นมิตรแท้ของกลุ่มฮิตาชิที่เราจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด
ส่วนนายโยชิตะ โคดามะ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทฮิตาชิเอเชีย จำกัด เผยว่า เราได้สานต่อการสนับสนุนประเทศไทยก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการจัดตั้งศูนย์ลูมาดา ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มฮิตาชินั้นมีจำนวนพนักงานทั่วโลกและญี่ปุ่นมากกว่า 307,000 คน มีรายได้ในปีงบประมาณ 2560 จำนวน 88.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9,368.6 พันล้านเยน เทียบเป็นเงินบาทไทยประมาณ 2.887 ล้านล้านบาท
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี