16 ก.ย. 2561 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว “Ladawan Wongsriwong” ระบุเนื้อหาว่า ทราบข่าวกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงกรณีที่สื่อมวลชนได้รายงานสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ปรากฏในรายงานประจำปีของคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ จัดทำขึ้นโดยนาย Andrew Gilmore ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อใช้ประกอบในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการจัดทำและนำเสนอรายงานตามกระบวนการของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ที่มีการจัดทำทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ตามข้อมติของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ที่ 12/2
โดยนาย Gilmore ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน จะเป็นผู้นำเสนอรายงานต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ในวันที่ 19 กันยายน 2561 ที่รายงานระบุว่าประเทศไทยเป็น 1 ใน 38 ประเทศที่มีการลงโทษนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่กล้าหาญเป็นสิ่งที่น่าละอายนั้น
ในข้อ 4 ที่กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่าประเทศไทยไม่มีนโยบายหรือเจตนาจะคุกคามข่มขู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใดนั้น เข้าใจว่าเป็นการชี้แจงไปตามหน้าที่เท่านั้นเอง เนื่องจากว่า ข้อมูลเชิงลึกที่ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติฯได้รับมานั้น ไม่น่าจะเป็นข้อมูลฉาบฉวย เขาน่าจะมีทีมงานติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่องพอสมควร จึงกล้าระบุในรายงานเช่นนั้น
และการนำเสนอข้อมูลที่ชี้ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนของประเทศต่างๆ เช่นนี้ ระดับองค์การสหประชาชาติ น่าจะมีการตรวจสอบมาอย่างถี่ถ้วนและชัดเจนดีแล้ว และเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา จะเข้าร่วมรับฟังการนำเสนอรายงานต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ของผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติ ในวันที่ 19 กันยายน 2561 ที่เจนีวา และใช้โอกาสนี้ชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไทยเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้ว แต่น่าเป็นห่วง ในกรณีถ้าเขามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจริง แล้วเราปฏิเสธก็อาจจะถูกตำหนิได้ว่า “โกหก” และจะเป็นการ “โกหกคำโต” กลางเวทีสำคัญระดับโลก จะเป็นการซ้ำเติมภาพพจน์ของประเทศไทยในทางที่ไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก
วันเดียวกัน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบเรียบร้อย (คสช.) กล่าวถึงกลุ่มการเมือง นำรายงานประจำปีของผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น ระบุ ไทยติดใน 38 ประเทศว่าเป็น “ประเทศที่น่าละอาย” มาใช้ขยายผลเพื่อให้ดูเป็นผลลบต่อประเทศไทยนั้น ขอเรียนว่า การรับฟังข่าวสารทางสังคม ช่วงนี้ต้องใช้วิจารณญาณพอสมควร พบมีบางบุคคลยังคงพยายามหยิบยกเหตุการณ์ ในวาระต่างๆ บางมุม บางข้อมูล มาแสดงความคิดเห็น หรือทัศนคติส่วนตัว เพื่อให้เกิดผลกระทบกับความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และคสช.
พ.อ.วินธัยกล่าวต่อว่า ซึ่งกรณีเรื่องรายงานประจำปีของผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะนำไปใช้ประกอบการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นนั้น เนื้อหาในรายงานอ้างว่ามีการปฏิบัติไม่ดีต่อนักสิทธิมนุษยชน โดยระบุถึง กรณีนายไมตรี จำเริญสุขสกุล และ น.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ (ทนายจูน) และมีกรณีเรื่องติดตามจากรายงานของปีที่แล้ว เช่น กรณีฟ้องร้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภายใต้
“ซึ่งทั้งสามกรณี ไม่น่าเกี่ยวข้องกับความร่วมมือในด้านสิทธิมนุษยชน เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมาตลอด ปัจจุบันได้มีการจัดทำมาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยได้พัฒนากระบวนการ กลไก และมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้ได้รับความปลอดภัยและสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพในการปฏิบัติงานอย่างดี” โฆษก คสช.กล่าว
และว่า จากข้อมูลที่ได้ทั้ง 3 กรณีเป็นลักษณะเหตุเฉพาะบุคคล ที่มีกรณีเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมาย จึงอาจมีการดำเนินการเป็นไปตามหลักกฎหมายปกติ เช่น กรณีที่เคยมีการฟ้องร้องนักสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภายใต้ ก็เป็นเรื่องที่ทางองค์กรหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ถูกนักสิทธิมนุษยชนละเมิดในเรื่องภาพลักษณ์ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่มีความละเอียดอ่อน
พ.อ.วินธัย ย้ำว่า ข้อมูลในรายงานมีที่มาอยู่ในกรอบที่จำกัด หรืออาจมีที่มาจากเพียงบุคคลเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ส่วนการมีบางบุคคลนำประเด็นมาขยายผลใช้ในมุมที่เป็นลบนั้น เท่าที่มีข้อมูล พบว่าจะเป็นกลุ่มบุคคลเดิม เชื่อสังคมปัจจุบันส่วนใหญ่รู้เท่าทัน และมีพัฒนาการในการรับฟังเรื่องราวต่างๆ อย่างมีเหตุผลโดยอาศัยวิจารณญาณที่สมดุลเพียงพอ ไม่โอนเอียงไปตามกระแสเป้าหมายนัยทางการเมืองของบางบุคคล
ดูจาก 2 คนนี้แล้ว เราเห็นอะไรบ้าง
1) เอาเรื่องเล็กๆ ก่อน – นางลดาวัลลิ์ เป็น “ผู้ประกาศข่าว” มาเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิต ยังสับสนต่อคำว่า “ภาพลักษณ์-ภาพพจน์” และใช้ผิด ขณะที่ พ.อ.วินธัย ซึ่งเป็นทหาร กลับใช้ได้ถูก ภาพพจน์ คือ การพูดหรือการใช้สำนวนโวหารทำให้เกิดภาพ หรือเห็นภาพ ขณะที่ภาพลักษณ์ คือคำว่า Image ในภาษาอังกฤษ ในที่นี้จึงต้องใช้คำว่า “ภาพลักษณ์” ไม่ใช่ “ภาพพจน์” คำว่า “เสียภาพพจน์” ไม่มีในโลกนี้
2) ถามกันจริงๆ เถอะว่า นางลดาวัลลิ์เป็นห่วงชาติบ้านเมือง เป็นห่วงนักสิทธิมนุษยชนจริงๆ หรือแค่ใช้เรื่องนี้มาเล่นงานรัฐบาลปัจจุบัน ในอดีตนางลดาวัลลิ์ได้สนใจ เคลื่อนไหว ปกป้องเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเข้าไปเกี่ยวข้องดูแลคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเพียงใด
3) เอาเข้าจริง หลายคนที่ดาหน้ากันออกมาพูดเรื่องนี้ เข้าใจหรือเปล่า ว่า มันเป็นประเด็นใด ระหว่างการประเมิน “ท่าทีของรัฐต่อนักสิทธิมนุษยชน” ในประเทศ หรือเป็นเรื่อง “การละเมิดสิทธิมนุษยชน” เขาประเมินเรื่องแรก ไม่ใช่เรื่องหลัง
4) ไทยจึงมีหน้าที่ต้องไปชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจ เพราะการประเมินก็คือการประเมิน ไม่ใช่การพิพากษา ซึ่งการประเมินก็อาจ ผิดพลาดคลาดเคลื่อน “หรือเป็น “มุมมอง” ที่ต่างกันได้ ดังนั้น ย่อมชี้แจง ทำความเข้าใจ หรือปรับมุมมอง การประเมินให้ตรงกันได้
5) ความเป็น “ประเทศที่น่าละอาย” ในขั้นต้น จึงอยู่ที่ คนไทยบางคน มันรักประเทศของมันน้อยไปเห็นอะไรทุบทำลายประเทศของตัวเองก็ได้ ก็ฉวยเอามาใช้ ตีฆ้องร้องป่าว โดยอาจจะคิดตื้นๆ ตามความจำกัดของเนื้อสมอง หมายทำลายฝ่ายตรงข้ามทางอำนาจที่ตนเจ็บแค้นอยู่ โดยไม่สนใจหรอกว่า บ้านเมืองพลอยฉิบหายไปกับปากของมันด้วย
6) เรื่องนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำให้ใหญ่โต “เกินจริง” แต่จะทำเป็น “ไม่ใส่ใจ” ก็ไม่ได้ อย่างน้อยการให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.วินธัย ก็บ่งชี้ว่า เขาศึกษา เขาเข้าใจ และพยายามอธิบายว่า 3 กรณีที่ถูกเพ่งเล็งว่า รัฐมีทีท่าคล้ายกับไม่สนับสนุน ไม่คุ้มครอง การทำงานของนักสิทธิมนุษยชน เพราะมีเหตุ “ฟ้องร้องดำเนินคดี” กับนักสิทธิมนุษยชน 3 กรณีดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่เกี่ยวกับการส่งเสริมความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด ทว่า เป็นเรื่องการดำเนินคดีกันตามกฎหมายปกติ เพราะมีการ “ละเมิดกัน”
7) หากลงลึกไปถึง 3 กรณีที่ว่า จะพบว่าเกี่ยวพันกับการแจ้งความดำเนินคดี ฐานหมิ่นประมาทบ้าง ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายบ้าง ฯลฯ จะมีก็กรณีทนายจูนคนเดียวที่ต่างไป เป็นเรื่องการไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่เท่านั้น โดยเป็นการดำเนินคดีด้วยข้อกฎหมายปกติ ให้สิทธิในการต่อสู้คดีตามปกติ และบางกรณี ศาลชั้นต้นให้ความคุ้มครองด้วยการ “ยกฟ้อง” แล้ว เป็นต้น มีข้อที่น่าเป็นห่วงบ้างตรงที่บางกรณี “ท่าที” เป็นลักษณ์ของการเอากฎหมายเข้ามาดำเนินการ เสมือนหวังผลให้เกิดความเกรงกลัว กดดันไม่ให้ทำหน้าที่ ตรงนี้คือ “มุม” ที่ต้องมอง ว่าผู้ประเมินเขาตีความเช่นนี้กระมัง
8) เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมา “ห้ำหั่นกันทางการเมือง” มาตีสำนวนโวหารดัดจริตกันไปต่างๆ นานา เป็นเรื่องที่ตัวแทนประเทศต้องไปทำความเข้าใจกับเขา และย้อนกลับมาดูการปฏิบัติจริงๆ ของเรา ว่าต้องปรับปรุงอะไรอย่างไรเสียก็จบ
ขณะเดียวกัน ประเทศเราก็เป็นประเทศที่น่าละอายหลายเรื่องนะ เป็นเมืองพุทธ แต่คนโกหกเป็นไฟ ขี้โกงขี้ฉ้อ ทั้งค่าอาหารกลางวันนักเรียน เบี้ยเลี้ยงพลทหาร เบี้ยยังชีพคนชรา-ผู้พิการ เงินช่วยเหลือคนยากไร้ ฯลฯ ผิดลูกผิดเมีย สนับสนุนคนโกงให้เป็นใหญ่ โกงแล้วถูกจับได้ก็หนีไปเสวยสุขที่บ้านอื่นเมืองอื่น คนในประทศก็ยังสรรเสริญ ปลาบปลื้ม ไม่รู้จักละอาย
อยากให้บ้านเมืองปฏิรูป อยากให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย แต่อยู่ร่วมกับความเห็นต่างไม่ได้
ถึงเวลาที่จะต้องส่งคืนบ้านเมืองสู่บรรยากาศของการเลือกตั้งตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ก็ปลดล็อกให้ไม่ได้ ใส่บทเฉพาะกาลยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมาย อ้างว่าพรรคการเมืองจะได้มีเวลาเตรียมการทำไพรมารีโหวต แต่ถึงเวลา ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ยกเลิกไพรมารีโหวต ตัวเอง หรือกลุ่มที่สนับสนุนตัวเอง เดินสายหาคะแนนนิยม หาสมัครพรรคพวกมาร่วมงานทางการเมืองได้ คนอื่นห้าม
ไม่ให้หาเสียงแม้กระทั่งในสื่อออนไลน์ ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายหมิ่นประมาท พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อยู่แล้ว ใครละเมิดก็มีกฎหมายบังคับใช้ ทำไมต้องไปปิดกั้น แล้วประชาชนเขาจะ “รู้จัก-เข้าใจ” แนวทางของผู้ที่จะมาเสนอตัวเป็นตัวเลือกให้แก่เขาได้อย่างไร
สุดท้ายก็ลงคะแนนเลือกตั้งแบบ “พวกใครพวกมัน” หาเสียงกันแบบ “พวกกูมาเลือกกู กูจะไปล้มล้างทุกอย่างที่มันทำไว้” กันรัฐบาลกันล่วงหน้า ด้วยวิธีคิดแบบใครพวกใคร กับพวก สส.สัมภเวสี ที่ไม่ต้องมีอุดมการณ์อะไร แค่ไหลไปรวมกับคนที่มีอำนาจเท่านั้น ไอ้ที่ฝันว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลง ด้วยมือประชาชน รู้จักเลือก ด้วยระบบที่ปรับปรุงแล้ว ก็จะจบแบบเดิม คือเป็นสงคราม “ขั้ว-ข้าง” กันต่อไปไม่รู้จบ ไม่มีใครสนว่านโยบายใครตอบปัญหาของประเทศชาติของประชาชนได้
อย่างนี้ทั้งน่าละอาย น่าหดหู่ และน่าอดสูจริงๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี