การประกาศคลายล็อกพรรคการเมือง ของ คสช. ในคำสั่ง คสช.ที่13/2561 เสมือนการลั่นกลองรบให้กับพรรคการเมือง ในการเริ่มแต่งตัวเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งต่อไป ช่วงสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมของทุกพรรคการเมือง เพื่อประชุมในการจัดการเรื่องข้อบังคับภายใน แต่ที่ดูตื่นตัวที่สุด และแตกต่างออกไปจากพรรคอื่น คือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่เริ่มขยับก่อนแล้วในสัปดาห์นี้เพื่อเตรียมการประชุมพรรคฯ แก้ไขข้อบังคับภายในให้สอดคล้องกับกติกาการเลือกตั้งใหม่
โดยการแก้ไขข้อบังคับภายในครั้งนี้ จะถือเป็นการยกเครื่อง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนจะมองว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่เคลื่อนที่ช้า ติดกับระบบ ไม่ใช่ตัวบุคคล จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงยากเพราะระบบที่มีไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปทั้งหมด ทั้งโครงสร้างภายใน นโยบายพรรค รวมไปถึงการสื่อสารที่มีข่าวออกมาว่าจะให้คนรุ่นใหม่ในพรรคเข้ามาจัดการเรื่องระบบการสื่อสารภายในพรรค แทนคนชุดเดิมแบบยกเครื่องทั้งหมด
การดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ อภิสิทธิ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผ่านหลายรูปแบบ แม้จะได้จัดตั้งรัฐบาลอยู่ครั้งหนึ่งก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่ชนะเลือกตั้ง และการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมาล่าสุดก็ยังทำได้ไม่ดีนัก เรื่องนี้คนประชาธิปัตย์ก็รู้ดีว่า สิ่งที่ติดขัดคืออะไร เมื่อปัจจัยเรื่องความรู้ความสามารถไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาพูดกันอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของระบบพรรคเองที่ยังไม่ดีพอจะสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคม
อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ อาจตกอยู่ในสถานะลำบากที่ถูกตีขนาบด้วยพรรค รปช. ที่มีจุดยืนชัดเจนว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และไม่เอาทักษิณ ขณะที่ พรรคเพื่อไทย และอนาคตใหม่ มีจุดยืนชัดเจนว่า ต่อต้านไม่เอา คสช.
และพวก ส่งผลต่อฐานเสียงประชาธิปัตย์ให้อาจพร่องลงไปจากความไม่ชัดเจน ที่ไม่สามารถแสดงจุดยืนที่ชัดเจนได้
ดังนั้นสิ่งที่อภิสิทธิ์เลือกที่จะทำในช่วงเวลานี้ก่อนการสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ และก่อนเลือกตั้งภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง จึงเป็นสิ่งที่ทั้งสร้างความประหลาดใจต่อสังคม และอาจเปลี่ยนเกมในกระดานที่คาดการณ์ไว้เดิม ต้องชื่นชมในความกล้าหาญที่อาจจะให้มีการทำไพรมารี สส. และระบบการหยั่งเสียงเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนต่อไป ที่ต่างจากการเลือกหัวหน้าพรรคคนก่อนๆ คือการสร้างวัฒนธรรมการเมืองหน้าใหม่ของไทย เพราะจะทำให้การเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้มีส่วนร่วมในการสรรหาผู้สมัคร และสามารถกำหนดอนาคตของผู้นำพรรคการเมือง เป็นการสร้างประชาธิปไตยในพรรคอย่างแท้จริง เพราะทุกคนที่เป็นสมาชิกจะมีสิทธิ์ในการสร้างฉันทามติร่วมกันว่า ใครคือผู้นำในการสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งหน้า ซึ่งอาจตรงข้ามกับพรรคเก่าแก่หลายๆพรรคที่มีอยู่
รูปแบบพรรคที่เน้นโครงสร้างมากกว่าตัวบุคคล ทำให้การเลือกหัวหน้าพรรค ผ่านการหยั่งเสียงในครั้งนี้ หวยจะออกที่ใครก็ได้ ที่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเพียงคนเก่าแก่ในพรรค เพราะแม้จะเป็นหน้าใหม่พึ่งสมัครแต่หากได้ฉันทามติจากสมาชิกพรรคก็ถือเป็นที่สิ้นสุด องค์ประกอบและกติกาที่กำหนดคร่าวๆ เช่นนี้จึงทำให้มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีคนภายนอกที่มาจากรัฐบาลเข้ามายึดพรรคด้วยหรือไม่? ซึ่งถึงตอนนี้ก็ตอบไม่ได้ว่าสมาชิกพรรคจะเสนอชื่อใครมาเป็นผู้สมัครหัวหน้าพรรค ด้วยกลไกที่เปิดกว้างจึงทำให้การหยั่งเสียงครั้งนี้เป็นการเสี่ยงที่สุดครั้งหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์
ในครั้งหนึ่งที่เกิดการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคระหว่างอภิสิทธิ์ กับ บัญญัติ ที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด ก็มีการเดินสายแบ่งกลุ่ม และจัดชุดผู้บริหารพรรค มีการหาเสียงแข่งกันอย่างชัดเจน จนเวลาต่อมามีการดึงสื่อภายนอกเข้ามาสร้างกระแสกดดัน สส. ภายใน จนสุดท้ายผลก็แพ้ชนะห่างกันไม่มาก แต่ก็ยังเป็นการแข่งขันภายในพรรคเองในระดับอดีต สส. หรือสาขาของพรรค แต่ยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้สังคม โดยเฉพาะสมาชิกพรรครู้สึกมีส่วนร่วมด้วย นับว่าการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ก็สร้างความท้าทายที่ไม่ต่างกัน และอาจมากกว่า เพราะนอกจากตัวละครลับที่ยังไม่รู้ชัดแจ้งว่าจะมีใครถูกเสนอชื่อบ้าง
คนที่เปิดเผยตัวจะชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอย่างชัดเจนอย่าง หมอวรงค์ ร่วมกับถาวร รวมถึงผู้ท้าชิงคนนอกอย่าง อลงกรณ์ ที่มีชื่อว่าจะท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในครั้งนี้ด้วย รวมถึงอาจมีคนในที่ยังซุ่มอยู่อีกคนหรือสองคน การตัดสินใจในการให้มีการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ของ อภิสิทธิ์ กำลังส่งสัญญาณว่าหากเขาได้เป็นหัวหน้าพรรคต่อ เท่ากับว่าคนประชาธิปัตย์ทั้งหมดพร้อมที่จะร่วมเป็นร่วมตายในศึกเลือกตั้งที่จะมาถึง หวังที่จะสลายความขัดแย้งภายใน?สิ่งนี้สำคัญกับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยวัฒนธรรมแบบประชาธิปัตย์ที่ทำให้เหล่า สส. ในพรรคมีความเป็นปัจเจกสูง จึงเป็นเรื่องหนักใจเสมอมาของหัวหน้าพรรค การหยั่งเสียงในครั้งนี้ก็กำลังจะสร้างอำนาจผ่านฉันทามติ ในการควบคุมสมาชิกพรรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมพรรคไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมืออย่างที่หวังจริงหรือไม่?
ซึ่งการจัดการทั้งหมดที่กล่าวมาจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดเลยหากรัฐบาล คสช. ยังไม่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้ว คสช. จะเป็นเพียงกรรมการกลางในการเลือกตั้ง หรือจะเปลี่ยนตัวเองลงมาเป็นผู้เล่นทางการเมืองด้วย เพราะขณะที่เงื่อนเวลาการเลือกตั้งใกล้เข้ามาถึงกลับพบว่ารัฐบาล คสช. ยังคงดำเนินการนโยบายในพื้นที่ต่างจังหวัดหลายจุด อาทิ ครม. สัญจรจังหวัดเลย และมีข่าวว่าจะไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้หวนคิดถึงปลายปี 2547 ก่อนการเลือกตั้งที่รัฐบาลทักษิณในขณะนั้นก็จัดโครงการทัวร์นกขมิ้น ครม. สัญจรพื้นที่ต่างๆ เช่นกัน โดยการไปแต่ละที่ก็แฝงไปด้วยการประชาสัมพันธ์ในเรื่องของผลงานที่ผ่านมารวมทั้งการอนุมัติงบประมาณในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนแต่กลับใช้งบประมาณนอกรอบงบประมาณประจำปี โดยใช้งบกลางอนุมัติจ่ายทันทีผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งก็อาจถูกมองว่าไม่ต่างกับการกระทำของรัฐบาลปัจจุบันเลยใช่หรือไม่?
ยิ่งประกอบกับการคลายล็อกที่คลายเหมือนไม่คลายจริงเพราะคลายให้เพียงแค่จัดประชุม และจัดการเพียงเรื่องทางธุรการเท่านั้น แต่ไม่ให้มีการประชาสัมพันธ์ ซึ่งเรื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะการจะรับสมาชิกของพรรคการเมืองต่างๆ จำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์ แต่หากติดล็อกตรงนี้แล้วจะทำให้การหาสมาชิกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นเพียงการนำใบสมัครไปให้กรอก และไม่ได้สร้างการเรียนรู้ที่ดีให้กับประชาชน ตลอดจนการเลือกของประชาชนก็จะไม่ชัดเจนว่า การสมัครสมาชิกพรรคแต่ละพรรคตรงตามอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเองหรือไม่?
พรรคการเมืองใดหากให้สมาชิกพรรคมีสิทธิ์หยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคยิ่งจำเป็นในการที่สมาชิกทั้งเก่าและใหม่ต้องเข้าใจในเรื่องอุดมการณ์พรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคที่ตอบโจทย์มากที่สุด ตลอดจนการทำไพรมารีโหวตย่อมจะติดขัดไปด้วยเพราะการทำไพรมารีโหวต สส. ในแต่ละพื้นที่ต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์ให้คนมาเลือกผู้แทนฯที่จะมาเป็นตัวแทนของพรรคในพื้นที่ตัวเอง ซึ่งคล้ายคลึงกับการเลือกตั้ง สส. ที่ต้องหาเสียงด้วย การปฏิรูปการเมืองที่หวังอาจจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด การคลายล็อกของ คสช. ตามคำสั่งที่ 13/2561 เป็นการเริ่มที่ดี แต่ต้องคิดให้รอบว่าการคลายล็อกเช่นนี้จะสร้างความลำบากให้กับการสร้างประชาธิปไตยในไทยหรือไม่ เนื่องจากการให้ทำแบบครึ่งๆกลางๆ เพียงบางส่วนและสงวนในเรื่องการหาเสียง ประชาสัมพันธ์ไว้แม้จะมีเจตนาในเรื่องการหาเสียงเลือกตั้งแต่กำลังสร้างข้อจำกัดในการมีส่วนร่วมของประชาชนในพรรคการเมือง จนอาจนำมาซึ่งปัญหาถึงความสงสัยต่อเจตนาของคสช. ว่า เป็นเจตนาบริสุทธิ์หรือเป็นกับดักสำหรับพรรคการเมืองอื่นๆ ตลอดจนความชัดเจนว่า คสช.จริงใจต่อการปฏิรูปการเมืองภาคประชาชนแค่ไหน.........
“...คนปากมากย่อมถูกผู้อื่นชิงชังรังเกียจเสมอ...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาบจอมภพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี