กรณีกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา เอสเอ กรุ๊ป ฟ้องร้องบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ต่อศาลปกครองกลาง พร้อมขอให้ศาลปกครองกลางสั่งคุ้มครองชั่วคราว กรณีการประกวดออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ในสนามบินสุวรรณภูมิ วงเงิน 329 ล้านบาท
สืบเนื่องจากแบบอาคารผู้โดยสารของเอสเอกรุ๊ป ได้รับคะแนนในการประกวดออกแบบมาเป็นอันดับหนึ่ง
แต่ถูกปรับตก เพราะไม่ได้แนบเอกสาร “ต้นฉบับใบเสนอราคา” ไปด้วย
ทอท.ได้เรียกกลุ่มนิติบุคคลร่วมทำงาน ดีบีเอแอลพี-นิเคนเซกเก หรือ “กลุ่มดวงฤทธิ์ บุนนาค” ซึ่งแบบอาคารผู้โดยสารได้คะแนนรองลงมา
เป็นอันดับสอง เข้ามาเจรจาต่อรองราคาภายในวันเดียว
ล่าสุด สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานตรงกันว่า ศาลปกครองกลางไม่คุ้มครองชั่วคราวการประกวดออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ตามที่เอสเอ กรุ๊ป ร้องขอ
ส่งผลให้ ทอท.สามารถที่จะเดินหน้ากระบวนการประกวดออกแบบต่อไปได้
นั่นคือ สามารถจะลงนามสัญญากับ “กลุ่มดวงฤทธิ์ บุนนาค” ได้
พูดง่ายๆ ว่า ศาลปกครองไม่ได้ห้าม
1. การที่ศาลปกครองไม่ได้ห้าม มิได้หมายความว่า จะต้องลงนามทันที
เพราะยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับข้อพิพาทในคดีนี้ แต่เป็นประเด็นสำคัญไม่แพ้กัน
2. ประเด็นแรก คือ ข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในแวดวงสถาปนิกว่า แบบที่ได้คะแนนที่สองนั้น มีความคล้าย-เหมือน กับงานของต่างประเทศอย่างมาก
เข้าข่ายลอกเลียนแบบหรือไม่?
หากสร้างที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะต้องใช้เงินค่าก่อสร้างกว่า 3 หมื่นล้านบาท มันจะคุ้มค่ากับเกียรติภูมิของประเทศชาติ หรือไม่?
3. ประเด็นที่สอง คือ การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ณ ทำเลที่ตั้งตามโครงการนี้ ไม่เป็นไปตามแผนผังการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เรียกว่าMaster plan
ล่าสุด ในเฟซบุ๊คของ ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน ได้นำเสนอความเห็นของบุคคลสำคัญในแวดวง ได้แก่
3.1 ระบุว่า คุณนิธิศ สถาปิตานนท์ ผู้บริหารบริษัท A49 ได้เขียนไว้ในเฟซบุ๊ค ตอบผู้สงสัยว่าทำไมไม่เข้าร่วมประกวดแบบในครั้งนี้ว่า
3.2 ได้นำเสนอข้อคิดความเห็นของ ดร.สมเจตน์ ทิณพงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด ระบุว่าความกังวลใจของข้าพเจ้า ไม่ใช่เรื่องการโต้เถียงกันเนื่องจากการประกวดแบบอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ ของสนามบินสุวรรณภูมิ ทว่ามันเกี่ยวกับคำถามต่อการตัดสินใจของการท่าอากาศยานที่จะสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ ขึ้นมาใหม่ (ณ ที่ตั้งด้านทิศตะวันออก) ซึ่งไม่สอดคล้องกับผังแม่บท อันจะนำไปสู่ความหายนะของสนามบินในอนาคต
“...พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะให้ความสนใจและสั่งการให้การท่าอากาศยาน ดำเนินการสอบเหตุผลว่าทำไมมันจึงผิดเพี้ยนไปจากผังแม่บท เบื้องลึกคือเหตุว่าผังแม่บทมีเพื่อให้ปฏิบัติตามหากจะเป็น Hub ของเอเชียที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้เต็มที่ 100 ล้านคนต่อปี
๑. TOR ของอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ ที่การท่าอากาศยานเสนอ ไม่ได้เป็นไปตามผังแม่บท (ซึ่งใช้เวลา ๓ ปีในการจัดทำขึ้น) ในผังแม่บท
ดังกล่าว อาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ จริงแล้วต้องตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้
๒. ในผังแม่บทดังกล่าว ระบบสาธารณูปโภคทั้งปวงที่อาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ พึงต้องการ ได้ถูกวางแผน ออกแบบ และจัดสร้างไว้แล้ว
๓. อาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ ที่เสนอขึ้นมาใหม่ ระบบลำเลียงกระเป๋าผู้โดยสาร (BHS) เป็นระบบเอกเทศ และไม่สามารถเชื่อมต่อกับกับระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันของอาคารหลังแรกได้ และจะไม่เชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสารเชื่อมต่อ (Satellite Building)ที่กำลังสร้าง รวมทั้งศูนย์รวมระบบขนส่งกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร (BHS Hup-center) ซึ่งตั้งอยู่ที่ Concourse D ดังนั้น การวางแผนใหม่ ออกแบบใหม่ และหาทางเชื่อมต่อใหม่ไปยังระบบทำงานและสาธารณูปโภคที่มีอยู่แล้วจะทำให้ค่าใช้จ่ายสูงและไม่มีประสิทธิภาพ
๔. ในผังแม่บทของเฟส ๑ (๔๕ ล้านคนต่อปี) กำหนดหลุมจอดเครื่องบินกลางแจ้งไว้ ๑๓ จุด ส่วนอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ ที่สร้างใหม่แทนตรงที่นั้นก็มีที่จอดเครื่องบินประชิดอาคาร ๑๓ จุดเช่นกัน (ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับของเดิมที่เคยวางไว้) ดังนั้น จะคาดหวังให้อาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ นี้ สามารถรองรับได้ ๓๐ ล้านคนต่อปีนั้น จำนวนผิดไปอย่างแน่นอน(ตามที่ข้าพเจ้าคำนวณ) การท่าอากาศยานควรแสดงรายการคำนวณความสามารถในการรองรับผู้โดยสารต่อปี โดยลดที่จอดเครื่องบินกลางแจ้ง ๑๓ จุด จากเดิมที่รองรับได้ ๔๕ ล้านคนต่อปี อย่างไรก็ตาม ความสามารถที่จะรับผู้โดยสาร ๓๐ ล้านคนต่อปี สำหรับอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ นี้ ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี ซึ่งสามารถแสดงได้จากรายการคำนวณเท่านั้น
๕. เครื่องบินทั้งหมดทั้งขามาและขาออกจากอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ ในตำแหน่งใหม่ จะมาจากหรือจะมุ่งไปยังทางวิ่งด้านทิศตะวันออก จะแออัดมาก ตามที่ในผังแม่บทได้เคยศึกษาไว้
….
๙. อาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ ปรากฏว่ามีทางเข้าออกจากรถไฟ? และโมโนเรล ? สิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่เหล่านี้ในช่วงเวลาของการทำแผนแม่บท พบว่าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการในระหว่างการพิจารณา
๑๐. การท่าอากาศยานควรจะตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ กับ Airport Council International (สภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ) ด้วยการขอให้เขาแสดงความเห็น และให้คำแนะนำต่ออาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ …”
4. เห็นได้ว่า การสร้างอาคารผู้โดยสารในสนามบินนั้น ไม่ใช่การสร้างอาคารร้านค้า ที่จะสร้าง แล้วคิดเฉพาะเรื่องการตกแต่งร้าน แต่ต้องคำนึงถึงการใช้สอยในฐานะอาคารป้อน-รับผู้โดยสาร เพื่อเดินทางเป็นสำคัญ
ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการทำแผนผังแม่บทสนามบินสุวรรณภูมิไว้แล้ว เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้พื้นที่
แต่ทำไมจึงจะแหกมาสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 แบบนี้?
ฝ่ายนโยบาย ควรพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนจะสายเกินกาล
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี